Gen X ผู้นำยุคใหม่ต้องใช้ AI อย่างชาญฉลาด

AI ไม่ใช่อนาคต แต่มันคือ ‘ปัจจุบัน’ ที่กำลังกำหนดทิศทางองค์กรแบบวันต่อวัน ไม่ว่าคุณจะนั่งหัวโต๊ะในห้องประชุม หรืออยู่ในฐานะผู้ตัดสินใจระดับ C-level ความเข้าใจใน AI จะกลายเป็น soft power ใหม่ของผู้นำยุคนี้ และไม่ใช่แค่เข้าใจให้ทัน — แต่ต้องนำมันได้อย่างมีสไตล์

เมื่อผู้นำแบบเก่าไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป

ปี 2025 คือปีที่องค์กรทั่วโลกกำลังตอบคำถามเดียวกันว่า “เราจะไปต่ออย่างไรในยุคที่เครื่องจักรคิดได้?” วิธีคิดแบบเดิม—ที่ยึดอีโก้มากกว่าข้อมูล, เชื่อประสบการณ์มากกว่าสถิติ—กำลังถูกท้าทายด้วยอัลกอริธึมที่เรียนรู้ไวกว่าและมองได้รอบด้านกว่า

Microsoft, IKEA, PwC และอีกหลายองค์กรระดับโลกเริ่มโยกงบไปลงทุนกับ AI เต็มตัว ในขณะที่ประเทศไทยเองก็ประกาศเป้าหมายฝึกแรงงานให้เชี่ยวชาญ AI กว่า 10 ล้านคนภายใน 2 ปี พร้อมอัดฉีดงบกว่า 500,000 ล้านบาทในระบบ Data Center, Cloud, และ Supercomputing

แต่นวัตกรรมไม่มีวันเกิดถ้าคนที่มีอำนาจตัดสินใจ ยังไม่เข้าใจ “โครงสร้างปัญหาที่แท้จริง” ขององค์กร

ใช้ AI อย่างมีแก่น ไม่ใช่แค่ดูดี

ผู้นำที่ใช้ AI ได้แบบมีคลาส ไม่ได้แค่หยิบมันมาใช้เพราะกลัวตกเทรนด์ แต่คือคนที่รู้ว่าควรปล่อยให้ AI ทำหน้าที่อะไร และควรเก็บ “การตัดสินใจสำคัญ” ไว้ที่มนุษย์

  • ใช้ Chatbot จัดการ onboarding และ HR routine ให้ทีมมีเวลาสนใจเรื่องคน

  • ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบ day-to-day เพื่อพลิกเกมแบบ week-to-week

  • ตั้ง KPI ด้วย data จริง ไม่ใช่ความรู้สึกหรือคำว่า “เคยเป็นแบบนี้เสมอมา”

Lean ไม่ใช่ Synonym ของ Lay-off

“ลีน” ไม่ได้แปลว่า “ปลด” แต่มันคือ “ตัดของที่ไม่จำเป็นออก” เพื่อให้โฟกัสไปที่สิ่งที่สร้างมูลค่าจริงๆ

แต่ในหลายองค์กร คำว่า lean กลับถูกตีความเป็น “ปลดคนก่อนประเมินระบบ” โดยเฉพาะในยุคที่วาทกรรมการเติบโตถูกผลักให้สุดโต่ง

โตเร็ว...แล้วเลี้ยวลงเหว

Hyper-growth ฟังดูแรง เหมือนรถสปอร์ตติดเทอร์โบ แต่ถ้าขับผิดจังหวะ มันพร้อมพุ่งชนกำแพงได้ทุกเมื่อ

  • Q1/2568 มีบริษัทไทยเลิกกิจการ 3,107 ราย (เพิ่มขึ้น 10.6%) (dbd.go.th)

  • GDP ไทยถูกปรับลดเหลือ 1.5–2% จากเดิมที่คาด 3% (bangkokbiznews.com)

บอร์ดบางแห่งยังเดินหน้าจ้างงานไม่หยุด เพื่อให้ทันกราฟเติบโตที่ต้องใช้โชว์นักลงทุน แม้ตลาดจะส่งสัญญาณชัดว่าเริ่มแผ่ว ผลคือปลดคนเพื่อปิดงบ และความเชื่อมั่นขององค์กรก็พังไปด้วย

Case Study จริง

  • Nissan เตรียมย้ายหรือลดตำแหน่งในไทยกว่า 1,000 อัตรา (Reuters)

  • Suzuki เตรียมปิดสายการผลิตที่ระยอง พร้อมเลิกจ้างเกือบพันคน (Matichon.co.th)

ทั้งสองเคยเป็นกรณีศึกษาแห่งความสำเร็จในอาเซียน แต่เมื่อยอดขายชะลอ แรงงานคือคนแรกที่ถูกตัด ไม่ใช่โบนัสผู้บริหาร

สาเหตุที่ผู้นำยุคใหม่ต้องคิดให้ขาด

  • Burn Money, Buy Growth – ขยายทีมเร็วเกินไป โดยไม่ดูฐานกระแสเงินสด

  • หลงกับภาพลวงตา – ไม่รับรู้ภาวะดอกเบี้ย, ค่าเงิน, สงครามการค้า

  • แก้ปัญหาแบบ reactionary – ตัดคนเพื่อเอาตัวรอด แทนที่จะทบทวนโมเดลธุรกิจหรือรีดีไซน์ต้นทุน

คำว่า “ยั่งยืน” ต้องเริ่มจาก C-suite

  • เปลี่ยนเป้าโตจาก “สองหลักทุกไตรมาส” เป็น “กำไรสุทธิมากกว่าอัตราเผาเงิน”

  • ทำ Stress-test ก่อนเปิดตำแหน่งใหม่ ดูยอดขายต่อเนื่องอย่างน้อย 12 เดือน

  • ตั้งกองทุนฉุกเฉินขององค์กร (6 เดือนของ payroll)

  • ให้โบนัสผู้บริหารผูกกับ cashflow ไม่ใช่ stock price

Playbook ผู้นำ Gen X คิดรอบด้านแบบนักยุทธศาสตร์

  1. Scenario Planning 360° – วางแผนหลายสมมติฐาน แล้วดูว่า AI จะช่วยหรือฉุดตรงไหน

  2. Cash Discipline – วางเส้นเตือนเงินสดติดลบ 3 เดือนติด = ปรับโครงสร้างทันที

  3. Human-Centered Metrics – วัด Engagement และ Reskill ไม่ใช่แค่ยอดขาย

  4. เชื่อม Supply Chain แบบเครือข่าย – ใช้ AI ดูต้นทางยันปลายทางแบบเรียลไทม์

  5. Board Simulation Day – ฝึกบอร์ดตัดสินใจในภาวะวิกฤต ปีละ 1 ครั้ง

ผู้นำไม่ต้องรู้ลึกทุกมุมของ AI แต่ต้องรู้ว่าคำถามไหนต้องถาม และตัดสินใจให้แม่นเมื่อถึงเวลา

แต่ถ้าผู้บริหาร Boomer ระดับสูงยังยึดติดวิธีเดิม

Boomer หลายคนโตมากับสูตรสำเร็จ “กำไรคือพระเจ้า” และ KPI คือยอดขายล้วน ๆ—พวกเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นความเสี่ยง ไม่ใช่โอกาส ผู้นำ Gen X จึงต้อง ‘แปลภาษานวัตกรรม’ ให้เข้าใจง่ายและเห็นตัวเลขก่อนอื่นใด

  1. พูดด้วย ROI ไม่ใช่ Buzzword — นำเสนอเคส AI ที่ลดต้นทุนหรือเพิ่มรายได้ชัด ๆ ภายใน 3–6 เดือน เพื่อให้ Boomer เห็น “เงิน” ก่อน “เทคโนโลยี”

  2. Quick‑Win Pilot — เริ่มโปรเจ็กต์เล็กที่จับต้องได้ เช่น Chatbot ที่ลดเวลาตอบลูกค้า 60% แล้วโยนตัวเลขให้ดูทุกสัปดาห์

  3. Reverse Mentoring — จับคู่ผู้บริหาร Boomer กับทีม Gen Z/Gen Y ที่คล่อง AI ให้แลกเปลี่ยนกันทุกเดือน Boomer ได้อัปเดตเทคโนโลยี ส่วนทีมรุ่นใหม่ได้เรียนรู้การคิดเชิงกลยุทธ์

  4. Data Storytelling — สรุปข้อมูลด้วย Dashboard ที่แสดงกราฟง่าย Highlight ตัวเลขต่างสีชัด ๆ ลดเอกสารยาว ๆ ที่ Boomer เบื่ออ่าน

  5. สร้าง ‘Why’ ร่วมกัน — ย้ำว่า AI ไม่ได้มาแทนคน แต่มาช่วยให้รุ่น Boomer ส่งไม้ต่ออย่างสง่างาม เปลี่ยน Mindset จาก “ฉันเคยทำมาแบบนี้” เป็น “ฉันจะฝากมรดกองค์กรที่ดีกว่าเดิม”

โค้ดลับคือ ‘ภาษาตัวเลข’ Boomer ไม่ปฏิเสธสิ่งที่ชัดเจนว่าทำเงิน—ถ้าแผน AI ของคุณแสดงผลทางการเงินอย่างเป็นรูปธรรม ความกลัวจะกลายเป็นความเชื่อใจโดยอัตโนมัติ

AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นเส้นวัด “คุณภาพผู้นำ” ที่แม่นยำที่สุดในยุคนี้ ใครที่กล้าคิดใหม่ กล้าวางแผนลึก และกล้าหยุดเพื่อประเมินโครงสร้าง จะเป็นคนที่พาองค์กรไปได้ไกลกว่าแค่การเติบโตเร็ว เพราะสุดท้ายผู้นำที่เท่ ไม่ใช่คนที่พูดเก่งหรือตามเทรนด์ทัน แต่คือคนที่ทำให้เทรนด์กลายเป็นประโยชน์ต่อทุกคนในองค์กรและพอถึงเส้นชัย — ไม่มีใครถูกทิ้งไว้กลางทาง


Previous
Previous

Luxury Brand กับศิลปะแห่งความเงียบ— บทเรียนล้ำค่าสำหรับนักการตลาด นักสร้างแบรนด์ และผู้บริโภคในปี 2025

Next
Next

มีใครบอกหรือยัง...จบปริญญาไม่เพียงพออีกแล้วในปี 2025