ผัดไทยประตูผีสู่โต๊ะทานอาหารโลก เมื่อรสชาติกลายเป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ
อาหารไทยอร่อย—แต่ขายยาก นี่คือปัญหาที่ผู้ประกอบการไทยพูดเหมือนกันมานาน เพราะแม้จะมีจุดแข็งเรื่องรสชาติและความเป็นเอกลักษณ์ แต่เมื่อถึงเวลาต้องแปรรูป หรือเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมเพื่อขายในตลาดโลก กลับกลายเป็นว่า “ทำไม่ได้” หรือ “ทำแล้วรสชาติเพี้ยน” คนจึงมักพาตัวเองกลับไปสู่คอมฟอร์ตโซนของการขายแบบเดิม ยืนรอให้ลูกค้าต่างชาติแวะมาร้าน มากกว่าพาตัวเองไปหาเขา
ท่ามกลางปัญหานี้ ทิพย์สมัยไม่เลือกที่จะอยู่เฉย แต่เดินหน้าเปิดเกมรุกในฐานะ ‘ผู้เล่นใหม่ในสนามแปรรูป’ ที่พร้อมแล้วจะยกอาหารไทยขึ้นอีกระดับ ไม่ใช่แค่เรื่องของชื่อเสียง แต่เป็นการขยายโมเดลธุรกิจแบบจริงจัง เพราะการออกงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ไม่ใช่เพียงการโชว์ของ แต่คือการวางยุทธศาสตร์ใหม่ในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์กว่า 20 รายการ ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มเร่งรีบทั่วโลก ตั้งแต่ตลาดอเมริกา เอเชียตะวันออก ไปจนถึงตะวันออกกลาง ที่ให้ความสำคัญกับ "Ready to Eat" และ "Ready to Cook" เป็นพิเศษ
จากข้อมูลของ Statista และ Frost & Sullivan ตลาดอาหารแปรรูปทั่วโลกมีมูลค่ารวมมากกว่า 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์แช่แข็ง (Frozen Food) ที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 5–6% ต่อปี ไปจนถึงปี 2030 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากผู้บริโภควัยทำงานในเมืองใหญ่ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกแต่ยังให้ความสำคัญกับสุขภาพ รสชาติ และคุณค่าทางวัฒนธรรม
ทิพย์สมัยวางหมากกระดานไว้ลึกกว่าที่เห็นด้วยการแยกแบรนด์เป็น 2 กลุ่ม:
“ทิพย์สมัย” เจาะกลุ่มตลาดบน เป็นภาพจำของผัดไทยระดับพรีเมียม รักษาชื่อเสียงต้นตำรับไว้ให้มั่น
“แบรนด์ไทย” เจาะตลาดแมส ขายง่าย ขยายตัวเร็ว ตอบโจทย์รสชาติไทยในทุกมื้อ โดยไม่ต้องอิงกับคำว่าผัดไทยเสมอไป
นี่คือการคิดแบบ Global-Local มีทั้ง flagship product ที่สร้างอัตลักษณ์ และ mass product ที่เป็น volume driver ซึ่งจะเป็นโมเดลสำคัญถ้าแบรนด์ไทยรายอื่นอยากเข้าสู่ธุรกิจแปรรูปอย่างแท้จริง
ไม่เพียงเท่านั้น การออกผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึง “Sustainability” อย่างการใช้บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ ยังแสดงให้เห็นว่าทิพย์สมัยเข้าใจมากกว่าเรื่องรสชาติ แต่เข้าใจ “เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคโลก” ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในหมู่ Millennial และ Gen Z ซึ่งกลายเป็นกลุ่มผู้ซื้อหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ทั่วโลก
รายงานจาก McKinsey & Co. ยังชี้ว่า 73% ของผู้บริโภค Gen Z พร้อมจ่ายแพงขึ้นเพื่อสินค้าอาหารที่สะท้อนค่านิยมของตัวเอง เช่น การใช้วัตถุดิบท้องถิ่น การรักษาสิ่งแวดล้อม และความโปร่งใสในกระบวนการผลิต ซึ่งทั้งหมดคือสิ่งที่ทิพย์สมัยใส่เข้ามาในสินค้ารุ่นใหม่ทั้งหมด—ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างความแตกต่าง แต่เพื่อความอยู่รอดในยุคที่ "แบรนด์ไม่มีจุดยืนจะถูกลืมอย่างรวดเร็ว"
นอกจากนี้ การเลือกออกผลิตภัณฑ์ในหลายรูปแบบ—จากแช่แข็ง, กึ่งสำเร็จรูป, ไปจนถึงซอส น้ำจิ้ม และชุดปรุงพร้อมใช้—ทำให้ทิพย์สมัยสามารถกระจายช่องทางจำหน่ายได้ทั้ง Offline (ร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต) และ Online (แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั่วโลก) รวมถึงสามารถเจาะตลาด HORECA (โรงแรม-ร้านอาหาร-บริการจัดเลี้ยง) ที่มองหาวัตถุดิบพร้อมใช้คุณภาพสูงได้อีกด้วย
จากมุมมองเศรษฐกิจมหภาค อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารในประเทศไทยมีมูลค่ารวมมากกว่า 3.5 แสนล้านบาท ต่อปี และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญต่อ GDP ภาคการผลิต และการส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารแช่แข็งและอาหารพร้อมทาน ซึ่งมีการเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 8% ในช่วงหลังโควิด-19
พูดง่าย ๆ คือ ทิพย์สมัยไม่ได้ขายแค่ “ผัดไทย” แต่ขาย “แพลตฟอร์มของอาหารไทย” ที่พร้อมให้คนทั่วโลกนำไปใช้ ทำซ้ำ และเข้าถึงได้ง่ายที่สุด
แม้จะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป แต่ทิพย์สมัยมีสิ่งที่ยี่ห้อใหญ่บางแบรนด์ไม่มี—“ต้นทุนทางวัฒนธรรม” ที่ถูกขัดเกลามาหลายสิบปีในสนามจริง และรู้ดีว่าผู้บริโภคต้องการอะไร ไม่ใช่ในตำรา แต่บนโต๊ะอาหาร นี่คือโมเดลธุรกิจแบบไฮบริดที่กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่: อาหารไทยไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในร้าน หรือในครัว แต่ควรอยู่ในตู้แช่ทุกบ้าน ที่ไหนก็ได้ในโลกและถ้าจะให้ Soft Power ไทยไปไกลกว่านี้ มันต้องเริ่มจากตรงนี้—การไม่ยอมให้อาหารไทยถูกตีกรอบว่า “อร่อยแต่ขายยาก” อีกต่อไป