Grave Friends เพื่อนแท้ในวาระสุดท้าย
ตอนที่เขียนบทความนี้ ฉันนึกถึงภาพของหลุมศพที่ไม่ได้ถูกทอดทิ้ง… แต่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแผ่วเบา ดอกไม้ที่วางไว้อย่างตั้งใจ และกลิ่นใบไม้แห้งที่ถูกปัดออกจากทางเดินทุกเช้าวันอาทิตย์ เสียงไม้กวาดเสียดสีพื้นหินเหมือนจังหวะของการเต้นรำเงียบๆ ที่ใครบางคนยังตั้งใจฟังอยู่ แม้เวลาจะเดินไปถึงจุดที่เหลือเพียงความทรงจำ
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่แก่ก่อนใคร และกำลังสอนเราทุกคนอย่างสุขุมว่า การเตรียมตัวตายไม่ใช่เรื่องหดหู่ หากแต่มันคือท่าทีหนึ่งของการดูแลตัวเองอย่างอ่อนโยน ซึ่งดูเหมือนว่าคนหนุ่มสาวจะลืมไปชั่วขณะว่าเราทุกคนต่างก็มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน และไม่มีใครรอดพ้นจากเส้นทางสุดท้ายนั้น
“Grave Friends” หรือในภาษาญี่ปุ่นว่า “ฮากาโทโมะ” เกิดขึ้นจากกลุ่มผู้สูงอายุที่ตัดสินใจรวมตัวกันในช่วงท้ายของชีวิต ไม่ใช่เพื่อจับกลุ่มกินขนม พูดคุยเรื่องสุขภาพ หรือปลอบใจความเหงาของกันและกันเท่านั้น แต่เพื่อเลือกว่าใครคือเพื่อนที่อยากจะถูกฝังอยู่ข้างๆ และใครคือคนที่จะเข้าใจว่า เราอยากให้งานศพของตัวเองเป็นอย่างไร
ที่โตเกียว มีองค์กรเล็กๆ ที่ชื่อว่า Ending Center เปิดดำเนินการมาเกินสองทศวรรษ พวกเขาไม่ได้ขายโลงศพหรือจัดงานศพแบบแพ็คเกจราคาประหยัด แต่เป็นเสมือนพื้นที่กลางของการพูดถึงความตายอย่างมีสติและมีศักดิ์ศรี พวกเขาจัดชมรมหนังสือ เวิร์กช็อปวางแผนพิธีกรรม และกิจกรรมต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกสูงวัยได้พูดคุยเรื่องที่สังคมมักหลีกเลี่ยง — ความตายของตัวเอง
การพบกันของสมาชิกหลายคนไม่ได้เกิดจากความผูกพันยาวนานแบบครอบครัว หากแต่มาจากความเข้าใจร่วมกันว่า ช่วงสุดท้ายของชีวิตนั้นมีคุณค่าเกินกว่าจะปล่อยให้เงียบเหงา
ชายวัย 78 ปีคนหนึ่งเล่าว่าเขาเคยกลัวตายมาก ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดของการจากไป แต่เพราะกลัวจะไม่มีใครมาเผาศพ กลัวจะไม่มีใครรู้ว่าเขาชอบดอกไฮเดรนเยียสีฟ้า หรืออยากให้เพลงของโยะซุโอะ คาซูมิ เปิดในพิธีลาโลก—แต่ตอนนี้ เขาไม่กลัวแล้ว เพราะมีเพื่อนร่วมสุสานที่รู้จักกันดีพอๆ กับเพื่อนในวัยหนุ่ม
ญี่ปุ่นมีคำเรียกหลุมศพร้างว่า “อะคิฮากะ” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “หลุมศพว่างเปล่า” ฟังดูเรียบเฉยแต่ชวนหดหู่ นี่คือผลลัพธ์ของสังคมที่เคยเชื่อมั่นในครอบครัวแบบขยาย และวางความหวังไว้ในลูกหลานคนโตให้เป็นผู้ดูแลต่อหลังจากความตาย แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป เด็กรุ่นใหม่ย้ายถิ่นฐาน ครอบครัวแตกแขนง บางคนไม่มีทายาทด้วยซ้ำ หลุมศพเหล่านั้นจึงกลายเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครจดจำ ไม่มีใครไปวางดอกไม้ ไม่มีแม้แต่ชื่อที่ยังอยู่ครบถ้วน
กลุ่ม Grave Friends เกิดขึ้นในท่าทีที่สวนทางกับสิ่งนั้น พวกเขาเลือกจะไม่พึ่งพาความกรุณาของลูกหลานหรือภาครัฐ แต่เลือกกันเองว่าวันสุดท้ายของชีวิตควรเป็นอย่างไร หลายคนฝังเถ้ากระดูกร่วมกันในโคลัมบาเรียมหรือ “จูโมคุโซ” พื้นที่ฝังอัฐิใต้ต้นไม้ที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีหินแกะสลักราคาแพงหรือเครื่องราง แต่มีความตั้งใจ และความหมายที่ฝังลึกยิ่งกว่า
มีหญิงวัย 81 ปีคนหนึ่งบอกไว้ว่า ลูกชายของเธอย้ายไปแคนาดาตั้งแต่ยังหนุ่ม เดือนหนึ่งโทรหากันครั้งเดียว และเขาคงไม่รู้หรอกว่าเธออยากจัดงานศพแบบไหน แต่เพื่อนในชมรมเขียนพินัยกรรมกลับรู้ เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดว่า “บางทีคนที่เข้าใจเราที่สุด อาจไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยตอนเกิด... แต่เป็นคนที่อยู่ด้วยตอนเตรียมตาย”
เรื่องราวเหล่านี้ชวนให้หันกลับมาดูประเทศของเราเองอย่างเงียบๆ ประเทศไทยกำลังแก่ลงในอัตราที่เร็วไม่แพ้ญี่ปุ่น ครอบครัวเริ่มเล็กลง บางคนเลือกจะอยู่คนเดียวโดยไม่คิดแต่งงาน และเริ่มคิดถึงการดูแลตัวเองในระยะยาวมากกว่าการพึ่งพาคนอื่น
คำถามคือ เราจะเตรียมตัวตายอย่างไร? และกับใคร?
บทสนทนาเรื่องความตายไม่ควรจะถูกผลักไสให้เป็นเพียง “เรื่องอึดอัด” อีกต่อไป เพราะในทางกลับกัน มันคือบทสนทนาที่ทำให้ชีวิตกระจ่างชัดมากขึ้น เราอาจได้รู้ว่า ใครคือคนที่เราอยากอยู่ด้วยจนถึงวันสุดท้าย หรือใครคือคนที่เราไว้ใจให้จัดดอกไม้บนโกศให้ถูกชนิด ถูกสี
ความตายจึงไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นบทสุดท้ายที่เราควรได้มีส่วนเขียน ไม่ใช่ปล่อยให้ใครเขียนแทน
บางที... มิตรภาพที่สงบ เรียบง่าย และเต็มไปด้วยความเข้าใจในสุสานเล็กๆ ของชานเมืองโตเกียว กำลังสอนเราทุกคนว่า การไม่ลืมกันในวันที่ไม่มีใครอยู่แล้ว อาจเป็นคำสัญญาที่ดีที่สุดของมนุษย์
อ้างอิงข้อมูล:
Unseen Japan. (2023). Grave Friends: Lonely Seniors in Japan Vow to Spend Eternity Together.
Sapiens.org. (2022). A New Approach to Death and Afterlife in Japan.
NHK World Japan. (2022). The New Age of Funerals.
Tokyo Weekender. (2022). Life After Death with Japan’s Ending Center.
The Japan Times. (2021). For Japan’s Elderly, Funerals Have Become a DIY Affair.
Nippon.com. (2020). Solitary Deaths and the Future of Japanese Funerals.