Met Gala พรมแดงที่สังคมเดินขึ้นไปด้วย หรือเพียงแค่ยืนดูอยู่เชิงบันได?

ในค่ำคืนต้นเดือนพฤษภาคม พรมแดงหน้าพิพิธภัณฑ์ The Met ในนิวยอร์กกลับมาทำหน้าที่เดิมอีกครั้ง—ปลุกโลกให้หันมาจับตาแฟชั่นในฐานะสิ่งที่มากกว่า “ความสวยงาม”
แต่น้อยคนจะรู้ว่า เบื้องหลังแสงแฟลชและชุดหรูเหล่านั้น คือสมรภูมิที่เต็มไปด้วยโครงสร้าง ความเงียบ และแรงต้านที่ยังคุกรุ่น

Met Gala 2025 ไม่ใช่แค่งานแฟชั่นแห่งปี มันคืองานประกาศจุดยืนของวัฒนธรรม และสำหรับปีนี้ มันกลายเป็น “การเมืองของความทรงจำ”

Superfine เมื่อแฟชั่นของคนผิวดำไม่ใช่แค่ชุด แต่มันคือการต่อสู้

แม้ธีมหลักของนิทรรศการในปีนี้จะใช้ชื่อว่า “Sleeping Beauties: Reawakening Fashion” ซึ่งเน้นการอนุรักษ์แฟชั่นเก่าให้กลับมามีชีวิต แต่สิ่งที่กลายเป็น “หัวใจของบทสนทนา” กลับเป็นนิทรรศการเสริมที่ชื่อว่า “Superfine: Tailoring Black Style” — การรื้อฟื้นวัฒนธรรมการแต่งกายของชุมชนคนผิวดำในโลกตะวันตก ผ่านเลนส์ของ Black Dandyism ที่ไม่ใช่แค่สไตล์ หากคือท่าทีที่ดื้อแพ่งต่ออำนาจ

ผลงานวิชาการของ Dr. Monica L. Miller ในหนังสือ Slaves to Fashion ถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นของการสำรวจว่า “การแต่งตัว” เคยเป็นเครื่องมือของทาส เพื่อเรียกร้องความเป็นมนุษย์ให้ตนเองได้อย่างไร และในปี 2025 มันกลับมาอีกครั้ง—ในรูปของชุด Zoot Suit, กำมะหยี่สีลึก, งานปักทองบนเส้นไหล่ และซิลูเอตที่กล้าท้าความเชื่อเดิม

หากจะมีอะไรที่ Met Gala ทำได้อย่างสม่ำเสมอ นั่นคือการย้ำเตือนว่า— พรมแดงไม่ใช่ของทุกคนเพราะจะขึ้นบันได The Met ได้ คุณต้อง “ถูกเลือก” คุณต้องมีทุน—ไม่ว่าจะเป็นทุนทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม หรือเครือข่าย เพราะบัตรเข้างานมูลค่าหลักแสนเหรียญ ชื่อเสียงที่พอจะดึงแบรนด์ระดับโลกมาแต่งตัวให้หรือสายสัมพันธ์ที่เชื่อมคุณเข้ากับดีไซเนอร์คนใดคนหนึ่ง

คนจำนวนมากสามารถเห็น Met Gala แต่มีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ได้ “เดินอยู่ในนั้น”

แต่ปีนี้บางอย่างเปลี่นนไป ศิลปินผิวดำ นักแสดง LGBTQ+ และดีไซเนอร์ที่เคยอยู่นอกขอบพรมแดง ได้เข้ามาอยู่กลางเวที พวกเขาไม่ได้เดินเพื่ออวดเครื่องประดับ แต่เดินเพื่อยืนยันการมีอยู่ของร่างกายที่เคยถูกปิดเสียง

  • Teyana Taylor เดินในชุดกำมะหยี่แดงจาก Marc Jacobs

  • Zendaya อ้างอิงถึง Harlem Renaissance ด้วยสูทโอเวอร์ไซซ์แบบ Zoot Suit

  • Janelle Monáe เล่าเรื่องร่างกายผ่านชุดที่โค้งเว้าเกินนิยามหญิง/ชาย

นี่คือการแสดงออกทางการเมือง—โดยใช้แฟชั่นเป็นภาษา เพราะเมื่อสังคมไม่ฟังเสียงของใครบางคน ผ้าจึงถูกเย็บขึ้นมาเพื่อ “พูดแทน”

Met Gala ไม้ได้ขายชุดแต่มันขายโครงสร้าง ซึ่งมันคือความขัดแย้งของ Met Gala ที่ความงามถูกสร้างขึ้นบนความเหลื่อมล้ำ มันขายภาพของ “อิสรภาพในการนิยามตัวตน” บนเวทีที่ปิดไว้สำหรับคนบางกลุ่ม แม้จะเป็นการเฉลิมฉลองความหลากหลายในขณะที่ยังคงยึดมั่นกับระบบที่เลือกใครได้ และมองข้ามใครได้อีกเช่นกัน

ในขณะเดียวกัน—มันก็เป็นสนามที่ “โลกภายนอก” มีสิทธิ์ร่วมวิจารณ์ เราทุกคนล้วนมีปากเสียงใน Met Gala แม้จะไม่เคยก้าวขึ้นบันไดนั้นก็ตาม

เราดู Met Gala อย่างไร?

เราไม่ได้แค่ดูว่าชุดไหนตรงธีมหรือไม่ แต่เรากำลังดูว่า “ใคร” ที่ระบบยอมให้พูด “ใคร” ที่แฟชั่นพร้อมจะให้พื้นที่ และ “ใคร” ที่ยังต้องใช้ความกล้าอย่างล้นพรมแดง เพื่อบอกว่า “ฉันมีอยู่เพราะในที่สุด Met Gala คือกระจกสะท้อนว่าเรามองโลกอย่างไร และโลกยังไม่เท่าเทียมตรงไหน

พรมแดงไม่ใช่ของทุกคน แต่ทุกสายตาที่เฝ้ามอง มันมีพลัง

Met Gala ไม่ได้เปลี่ยนโลกในชั่วข้ามคืน แต่มันทำให้โลกมองเห็นว่า อะไรที่ควรถูกเปลี่ยน มันอาจเป็นพื้นที่ของชนชั้นนำ แต่ก็เป็นเวทีจำลองของความฝัน และการต่อสู้ ในเมื่อแฟชั่นกลายเป็นภาษาใหม่ของการต่อรอง ทุกชุด ทุกร่างกาย คือประโยคที่เราจำเป็นต้องแปลให้ออก

ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนของพีระมิด Met Gala ก็ยังเป็นพื้นที่หนึ่งที่ทำให้เราต้องแหงนหน้ามองและตั้งคำถามกลับไปยังระบบที่ “ยังไม่เลิกเลือกข้าง”


Previous
Previous

5 สิ่งที่ดิฉันไม่เสียเวลาทำอีกต่อไปในวัย 30+

Next
Next

Grave Friends เพื่อนแท้ในวาระสุดท้าย