รัฐที่คุยกันแบบเพื่อนพ่อ คลิปเสียงหลุดจาก ฮุน เซน กับจุดอ่อนของรัฐทั้งระบบ

เสียงที่เปิดหมาก: เมื่อรัฐไทยอ่อนแอกว่าความไว้ใจของผู้นำ

“บางคลิปเปิดแค่เสียง...แต่เผยทั้งโครงสร้างรัฐที่เปราะบาง”

คลิปเสียงบทสนทนาเรื่องชายแดนที่ฟังดูธรรมดา ถูกเปิดเผยโดยสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา พร้อมคำยืนยันว่าเขาเป็นผู้บันทึกเอง และตั้งใจปล่อยออกสู่สาธารณะ — นี่ไม่ใช่คลิปหลุด แต่มันคือหมากที่วางไว้อย่างเยือกเย็น

และยิ่งเยือกกว่าคือปฏิกิริยาจากฝั่งไทยที่ตามเกมไม่ทัน

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ออกมายอมรับว่าเสียงในคลิปเป็นของเธอจริง
แต่สิ่งที่สังคมได้ยินกลับไม่ใช่แค่เสียง — คือความเงียบของระบบรัฐที่ไม่มีเครื่องมือใดรองรับภัยจากการเจรจานอกรูปแบบ

หากวิเคราะห์ด้วยมุมคิดแบบ System Thinking เราจะเห็นโครงสร้างที่เชื่อมโยงกันของผู้เล่นทั้งหมดในเกมนี้

  • ฮุน เซน: ได้ทั้งภาพลักษณ์ผู้เจรจาโปร่งใส อำนาจต่อรองระหว่างประเทศ และเครื่องมือกดดันไทย

  • รัฐบาลไทย: สูญเสียศรัทธา เสียงในรัฐสภาสั่นคลอน และกลายเป็นภาพลักษณ์ประเทศที่เปราะบาง

  • กองทัพไทย: ถูกพาดพิงทางอ้อมว่าอาจไม่สอดคล้องกับรัฐบาล

  • ประชาชนไทย: เสียความมั่นใจ ถูกบีบให้เชียร์หรือถอยหลังจากรัฐบาล

  • นักลงทุน–อาเซียน–ศาลโลก: จับตามองไทยในฐานะประเทศที่ “จัดการการทูตไม่เป็นระบบ”

นี่คือระบบที่ทุกการกระทำมีผลกระทบต่อส่วนอื่น และคลิปเพียง 9 นาที กลับสั่นไหวโครงสร้างรัฐได้ในระดับที่รัฐประหารยังทำไม่ได้

“ไทยเริ่มก่อน” คือ Narrative ที่เปลี่ยนเกม

หนึ่งในคำพูดของฮุน เซนในคลิปคือ

“ฉันพูด เพราะไทยเริ่มก่อน”

ประโยคนี้เหมือนง่าย แต่มันคือ Narrative เชิงยุทธศาสตร์ เพราะหากไม่มีการโต้แย้งจากฝั่งไทย โลกจะเข้าใจว่าไทยอาจ “เป็นฝ่ายเปิดประเด็นบางอย่างก่อน” และฮุน เซนแค่ “เผยแพร่เพื่อป้องกันตนเอง”

ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ — ไม่มีใครในไทยออกมาปฏิเสธคำนี้อย่างเป็นระบบ ไม่มีการอ้างว่าเอกสารเจรจาอยู่ในรูปแบบใดไม่มี Minute of Meeting ไม่มีเครื่องมือรัฐที่ออกมา "พูดแทนผู้นำ"

ในคลิป เสียงของผู้นำไทยขอความร่วมมือเปิดด่านชายแดนเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่ไม่กี่วันหลังจากคลิปถูกปล่อยออกมา — ด่านบางแห่งกลับถูกปิด โดยฝั่งกัมพูชาเอง

นี่คือการพูดไมตรี แต่เล่นเกมจริง คือการหลอกให้ลดการ์ด แล้วใช้เวลานั้นบีบเชิงอำนาจ
textbook ของ Psychological Warfare

“ใช้ความไว้ใจล่อศัตรูให้ลดอาวุธ แล้วเปิดฉากโจมตีจากจุดที่เขาไม่คิดว่าจะถูกเล่นงาน”

ไทยเสียอะไรจาก “คลิปนี้”

  • เสถียรภาพรัฐบาล พรรคร่วมถอนตัว, ฝ่ายค้านเตรียมอภิปราย, ความเชื่อมั่นถอยหลัง

  • ความมั่นคงเชิงโครงสร้าง ไม่มีระบบความปลอดภัยในการสื่อสารของผู้นำ, ไม่มีเจ้าหน้าที่ประกบในการเจรจาระหว่างประเทศ

  • ความน่าเชื่อถือระดับโลก หากเกิดข้อพิพาทชายแดนในอนาคต คลิปนี้จะกลายเป็น soft evidence ว่าไทยไม่มีระบบความร่วมมือภายในรัฐ

  • เศรษฐกิจ นักลงทุนจับตา, ตลาดทุนผันผวน, บรรยากาศไม่เอื้อต่อการลงทุนใหม่

การที่นายกรัฐมนตรีออกมายอมรับว่าเสียงในคลิปเป็นของจริง โดยไม่มีการป้องกัน ไม่มีการบันทึกอย่างเป็นระบบ และไม่มีแผนรองรับหลังคลิปหลุด—ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

เพราะนี่ไม่ใช่แค่ความผิดพลาดด้านการสื่อสาร
แต่มันคือความล้มเหลวของ “การบริหารอธิปไตยของรัฐ” ในระดับผู้นำสูงสุด ดังนั้น ความรับผิดชอบต้องไม่จบแค่คำขอโทษหรือการแถลงข่าว

สามทางเลือกที่ควรเกิดขึ้นทันที คือ

  1. เปิดคลิปเต็ม + ตั้งคณะกรรมการอิสระ เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น และหยุดการควบคุม narrative โดยฝ่ายตรงข้าม

  2. ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน หากเชื่อว่ายังบริสุทธิ์แต่ระบบถูกสั่นคลอน การคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกใหม่ คือวิธีฟื้นความชอบธรรมโดยไม่ต้องรอพังทั้งคณะ

  3. หากเกินเยียวยา — ลาออกอย่างมีศักดิ์ศรี เพื่อยอมรับว่าความผิดพลาดนี้ไม่ควรให้ทั้งรัฐต้องแบก

สิ่งที่ไม่ใช่ความรับผิดชอบคือการบอกว่า “ไม่รู้ว่ามีการอัดเสียง” เพราะเมื่อคุณเป็นนายกฯ ทุกคำพูดของคุณก็คือคำพูดของรัฐ เราต้องยอมรับว่านี่คือ “อ่อนหัดเกินกว่าจะทันเกม” — และนั่นเพราะรัฐไทยไม่มีทีมข้างหลัง

แพทองธารไม่ได้พูดจากตำแหน่งผู้นำที่มีทีมเจรจา แต่พูดจากกรอบความสัมพันธ์ส่วนตัวกับฮุน เซนในฐานะ “ญาติผู้ใหญ่ของพ่อ” และรัฐไทยก็ไม่มีระบบใดคอยป้องกันความเสียหายจากการคุยแบบส่วนตัว ไม่มีความมั่นคงของข้อมูล ไม่มีเจ้าหน้าที่ติดตาม ไม่มีกระบวนการทูตที่ถูกใช้จริง

ผลจึงออกมาแบบที่เห็น — ประเทศทั้งประเทศถูกบันทึกเสียง โดยอีกฝ่ายควบคุม Narrative แบบเบ็ดเสร็จ

ทางออกของไทย คือ การใช้ระบบ สู้ด้วยเวลา ไม่ใช่เกมดราม่า

  • เปิดคลิปเต็มทันที

  • ตั้งคณะกรรมการอิสระ

  • ออกแถลงการณ์กระทรวงการต่างประเทศ

  • ทำ Minute of Meeting ย้อนหลัง

  • สร้างทีมเจรจาข้ามพรรคการเมือง

  • ตั้งกลไกความมั่นคงข้อมูลระดับรัฐ

"รัฐไม่ควรบริหารด้วยความไว้ใจ แต่ต้องควบคุมด้วยระบบ" ถ้าเรายังคิดว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวคือเครื่องมือทางการทูต เราจะกลายเป็นประเทศที่คนอื่นใช้คำพูดของเรามาเขียนเรื่องเล่าแทนเรา และถ้าผู้นำไม่กล้ารับผิดชอบอย่างเป็นระบบ — วันหนึ่งระบบอาจไม่มีใครฟังผู้นำอีกต่อไป


Previous
Previous

เรากลัว AI หรือกลัวความคิดตัวเองเสื่อม?

Next
Next

ทำไมเราควรฝึกคิดเชิงระบบ (System Thinking)