เรากลัว AI หรือกลัวความคิดตัวเองเสื่อม?

ในแต่ละยุคของการเปลี่ยนผ่าน มีเทคโนโลยีใดบ้างที่ไม่เคยถูกโจมตี?

ย้อนกลับไปยุค 1950s — โทรทัศน์เพิ่งเข้าบ้านหลังแรกในอเมริกา เสียงตำหนิจากนักวิชาการและนักจิตวิทยาดังขึ้นพร้อมกับแสงจอ พวกเขากลัวว่าเด็กจะเลิกอ่านหนังสือ หยุดคิด และกลายเป็นมนุษย์เชื่อง่ายที่ถูกป้อนภาพโดยไม่ตั้งคำถาม
ยุค 1990s — โทรศัพท์มือถือเริ่มแพร่หลาย สังคมตะวันตกตีพิมพ์บทความหลายชิ้นเตือนว่า “มือถือทำลายการสนทนาอย่างแท้จริง” และทำให้มนุษย์หลงลืมการมองตา
ปี 2000s ถึงต้น 2010s — อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียเข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างการสื่อสารแบบถอนราก จนเกิดปรากฏการณ์ fear-mongering ครั้งใหญ่ ว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคแห่งความเหงา” ที่ทุกคนมีเพื่อนเป็นเพียงไอคอนในจอ


แล้ววันนี้ ปี 2025 — AI คือเป้าหมายใหม่ของความกลัว
จากไวรัลโพสต์หลายชิ้นที่กล่าวหาว่า “ChatGPT ทำให้สมองฝ่อ ความจำเสื่อม ความคิดอ่อนแรง” แต่สำหรับเราคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่เห็นปุ๊บเชื่อทันที เพราะเราตั้งคำถามกับมันว่า นี่คือบทเตือนจริง ๆ หรือแค่ภาพซ้ำของความกลัวเทคโนโลยีที่วนมาทุกเจเนอเรชัน?
จากนั้นเราจึงตรวจสอบงานวิจัยต้นทางของ MIT อย่างละเอียด สิ่งที่พบอาจไม่ได้ “น่ากลัว” แต่ “น่าคิด” ยิ่งกว่า


ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนคงเห็นโพสต์ไวรัลที่อ้างว่า “MIT พบว่า ChatGPT ทำให้สมองฝ่อ ความจำเสื่อม งานเขียนไร้คุณภาพ” พร้อมกราฟิกสมองหลากสีที่ค่อย ๆ จางลงเหมือนอารมณ์ในหนังไซไฟ dystopia
ฟังดูน่ากลัวดี — แต่พอเราย้อนกลับไปดูงานวิจัยต้นทางจริง ๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนว่า: นี่คือกรณีศึกษาของ “ไวรัลที่บิดความจริงเพื่อให้ได้อารมณ์ มากกว่าความรู้”
งานวิจัยมีจริง — แต่ไม่ได้พูดแบบนั้น
ชื่อของงานวิจัยคือ
“Your Brain on ChatGPT: Accumulation of Cognitive Debt when Using an AI Assistant for Essay Writing Task” (“สมองของคุณเมื่อใช้ ChatGPT: การสะสมของ ‘หนี้ทางความคิด’ จากการใช้ผู้ช่วย AI ในการเขียนเรียงความ”)
จัดทำโดย MIT Media Lab (เผยแพร่บน arXiv เมื่อเดือนมิถุนายน 2025)
เนื้อหาโดยรวมคือการศึกษาผลกระทบของการใช้ ChatGPT ต่อสมองในขณะเขียนเรียงความ SAT

โดยผู้เข้าร่วมจะถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม:


1. กลุ่มที่เขียนเอง


2. กลุ่มที่ใช้ Google


3. กลุ่มที่ใช้ ChatGPT เป็นผู้ช่วยเขียน


ผลลัพธ์ที่ทีมวิจัยพบ:


• กลุ่มที่ใช้ ChatGPT มี brain activity ต่ำที่สุด


• งานเขียนมีลักษณะซ้ำ ไม่มีโครงสร้างเฉพาะตัว


• ผู้เข้าร่วมจำไม่ได้ว่าตนเขียนอะไร และรู้สึกว่างานนั้นไม่ใช่ของตัวเอง


นักวิจัยจึงเรียกสิ่งนี้ว่า “cognitive debt” หรือ “หนี้ทางความคิด” ซึ่งอธิบายง่าย ๆ ว่า เมื่อเราพึ่งเครื่องมือคิดแทนมากไป สมองจะค่อย ๆ เลิกทำงานในแบบที่ควร
ข้อเท็จจริง…การทดลองนี้ยังอยู่ในสถานะ “preprint” หรือ ยังไม่ผ่านการตรวจสอบโดยนักวิจัยอิสระ (peer-reviewed) และใช้ตัวอย่างขนาดเล็ก (n = 54 คน)
คำพูดที่ดูเหมือน “เด็ดขาด”

ในไวรัลนั้น จึงเป็นเพียงการ ตีความจากสื่อกลางที่หวัง engagement มากกว่าความแม่นยำ
ความเสี่ยงของไวรัลข้อมูลแบบนี้
นี่ไม่ใช่เพียงการ “แชร์ผิด” แต่คือปัญหาระดับโครงสร้างที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยพร้อมกัน:


1. AI กลายเป็นวายร้ายที่ง่ายต่อการตีความแบบตื่นกลัว


2. ความเร็วของไวรัล > ความลึกของข้อมูล


3. ผู้คนใช้ Facebook/TikTok แทนการอ่านแหล่งข่าววิชาการ


4. สื่อขนาดใหญ่บางแห่งไม่ได้ทำ fact-check ละเอียด เพราะกลัวตกกระแส
ผลลัพธ์คือ ความเข้าใจผิดในระดับมหาชน ซึ่งอาจกระทบต่อการออกแบบนโยบาย การศึกษา และวิธีใช้เทคโนโลยีในอนาคต


จุดสำคัญของงานนี้ก็ไม่ได้สรุปว่า AI ทำให้โง่ลง หรือ “หลอนสมอง” อย่างที่ไวรัลดังพยายามชี้นำ
สิ่งที่ไวรัลเพจทำ: ตัด-ใส่คำ-ใส่อารมณ์
โพสต์ไวรัลดังกล่าว ตัดตอนจากรายงานวิจัยจริง แล้วเติมคำว่า “สมองฝ่อ”, “เสื่อมความจำ”, “ไร้ไอเดีย” และ “เสพติด AI” — ทั้งที่ต้นฉบับวิจัย ไม่เคยใช้คำเหล่านี้เลย
จงใจหรือไม่ เราไม่รู้
แต่มันชัดเจนว่าเป็น “การเล่าเรื่องด้วยอารมณ์ มากกว่าเนื้อหา”


แล้วเราควรกลัวการใช้ ChatGPT หรือเปล่า?
ไม่ใช่เลย — กลับกัน

งานวิจัยนี้กำลังบอกเราว่า
ถ้าเราใช้ ChatGPT อย่างพึ่งพิงแบบไม่คิด มันก็จะทำหน้าที่แทนเราได้ดี แต่ในขณะเดียวกัน สมองเราก็จะหยุดทำงานในระดับที่เคยทำได้
สิ่งที่ควรกลัว ไม่ใช่ AI แต่คือ “การคิดน้อยลง” เพราะเชื่อว่าความคิดของเราสู้เครื่องไม่ได้


Puff. อยากให้เราตั้งคำถามมากกว่ากลัว
เราอยู่ในโลกที่ข้อมูลถูกบิดได้ง่าย และถูกแชร์ไวกว่าเวลาที่ใช้คิด
สิ่งที่บทเรียนนี้ชี้ให้เห็นคือ — แค่ชื่อ “MIT” ก็สามารถทำให้โพสต์ใด ๆ กลายเป็นความจริงในสายตาหลายคนได้ แม้เนื้อหาจะเกินจริงเกือบครึ่ง
เวลาที่คุณใช้เทคโนโลยี เราต้องหมั่นถามตัวเองเสมอว่า
“เราใช้เทคโนโลยีอยู่ หรือแค่ปล่อยให้มันใช้เรา?”


📌 เขียนโดย: puff-onlinemag.com


🔗 อ้างอิง: arxiv.org/abs/2506.08872


Previous
Previous

น้ำหอมที่ควรฉีดในวันที่หัวใจไม่เหลือใคร

Next
Next

รัฐที่คุยกันแบบเพื่อนพ่อ คลิปเสียงหลุดจาก ฮุน เซน กับจุดอ่อนของรัฐทั้งระบบ