เมาเหล้า เมายา ต่างฤทธิ์แต่เหมือนกันที่ใช้หนีความจริง

กลางคืนเมืองใหญ่ไม่เคยเงียบ ถนนสว่างด้วยไฟนีออน และบางมุมก็สว่างด้วยเสียงคนโต้เถียง ตะโกน ด่ากันลั่น… ข่าวคนคลั่งเมาแล้วก่อเหตุ เราเห็นจนชินตา บางครั้งเป็นเหล้า บางครั้งเป็นยา แต่ทำไมผลลัพธ์มันถึงพังพอๆ กัน? หรือจริงๆ แล้ว มนุษย์เราต่างหาทางเมาเพื่อลืมสักอย่างที่ไม่อยากจำ

ความเมาทุกแบบมีวิทยาศาสตร์รองรับ มันไม่ใช่แค่ “ขาดสติ” อย่างที่ชอบพูดกัน แต่คือการเปลี่ยนสมองให้กลายเป็นสนามรบระหว่างสารเคมี กับความยับยั้งชั่งใจที่ปกติคุมเราอยู่

แอลกอฮอล์ทำงานแบบกดสมองบางส่วนให้ช้าลง ตัวควบคุมอารมณ์เบาลง ความกลัวหายไป คำว่าคิดก่อนพูดถูกตัดออกจากระบบ ความกล้าผสมความก้าวร้าวเลยถูกปล่อยออกมาโดยไม่ต้องผ่านด่านตรวจ WHO เคยรายงานว่ากว่า 40% ของคดีความรุนแรงเกี่ยวข้องกับการดื่ม นี่ไม่ใช่ตัวเลขลอยๆ แต่มาจากสถิติทั่วโลกที่บันทึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพอเมา เหตุผลก็กลายเป็นเสียงเบาที่สุดในห้อง

ส่วนสารเสพติดบางชนิดอย่างยาบ้า ยาไอซ์ กลไกมันต่างไป คนไม่ได้ช้าลง แต่กลับเร็วเกินมนุษย์ปกติ หัวใจเต้นแรง สมองเหมือนถูกสั่งให้ไม่หลับไม่พัก ความหวาดระแวงพุ่งสูง พลังงานล้นแบบไม่รู้ตัวเองจะหยุดตรงไหน อารมณ์เดือดง่าย และการควบคุมพังลงแบบไม่เหลือร่องรอย สถาบันจิตเวชและประสาทวิทยาหลายแห่งยืนยันตรงกันว่า ยากลุ่มนี้กระตุ้นระบบโดพามีนจนล้นเกิน ทำให้คนบางรายหลุดเข้าสู่ภาวะก้าวร้าวรุนแรงแบบไร้เหตุผลในไม่กี่นาที

แต่ลึกกว่าฤทธิ์ยาและเหล้า คือคำถามที่เราไม่ค่อยพูดตรงๆ… ทำไมเราต้องอยากเมา?

จิตวิทยาอธิบายว่า สมองมนุษย์ชอบรางวัลทางลัด โดพามีนที่ได้จากการดื่มหรือเสพเหมือนตั๋วพาเราออกจากความเครียด ความเหงา หรือความกดดันในชีวิตประจำวัน หลายคนบอกว่า “ดื่มเพราะอยากสนุก” แต่จริงๆ บางครั้งคือการขอพักจากโลกที่มันหนักเกินไป โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับมันตรงๆ การเมากลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว ที่แลกมาด้วยความเสี่ยงที่เราเลือกจะลืม

10 ข้ออ้างของขี้เหล้าเมายา

  1. “ฉันคุมตัวเองได้” – แต่ต้องโทรหาใครสักคนให้มารับทุกครั้งที่เมาเละ

  2. “ไม่ได้เมา แค่ตาแดง” – ตาแดงเหมือนป้ายไฟบอกทาง แต่ยังบอกว่าไม่ได้ไปไหนผิดทาง

  3. “กินเพื่อผ่อนคลาย” – เหมือนจุดไฟเผาบ้านเพื่อขับไล่ยุง… สุดท้ายพังทั้งหลัง

  4. “เพื่อนชวน ปฏิเสธไม่เป็น” – ปฏิเสธเพื่อนยากกว่าปฏิเสธการทำลายสุขภาพตัวเองจริงไหม?

  5. “ดื่มเพราะศิลปินโปรดก็ดื่ม” – แต่ลืมไปว่าศิลปินมีทีมแพทย์และเงินซ่อมสุขภาพหลังเวที

  6. “ยาแค่ช่วยเพิ่มสีสันให้ชีวิต” – สีสันที่ทิ้งร่องรอยดำมืดมากกว่าสดใส

  7. “วันพิเศษต้องฉลอง” – แต่วันไหนบ้างที่ไม่พิเศษสำหรับการชูแก้วของคุณ?

  8. “ฉันไม่เหมือนคนติดคนอื่น” – คำพูดที่ทุกคนในคลินิกบำบัดเคยพูดมาก่อน

  9. “ไม่ได้เสียใครสักหน่อย” – จริง… แต่คุณเสียตัวเองไปทีละนิดทุกครั้งที่ยกแก้วหรือเสพ

  10. “ชีวิตมันเครียด ขอสติหายบ้าง” – ลองถามตัวเองตรงๆ ว่าความสุขจริงมันควรต้องแลกด้วยการหายไปของสติหรือเปล่า

เราอาจบอกตัวเองว่า “เมาเหล้าแค่สนุก เมายาน่ากลัวกว่า” แต่ความจริงคือทั้งสองอย่างเปลี่ยนสมอง เปลี่ยนการตัดสินใจ และเพิ่มโอกาสเกิดเรื่องที่ไม่มีใครอยากจำ สังคมอาจตัดสินแค่ผลลัพธ์ที่เห็น แต่เบื้องหลังทุกความเมา คือมนุษย์คนหนึ่งที่กำลังหาทางหนีออกจากความจริงที่เจ็บกว่าฤทธิ์สารในแก้วหรือในเม็ด

บางที การหยุดวงจรข่าวร้ายเหล่านี้ไม่ได้เริ่มที่การโทษเหล้าหรือยา แต่เริ่มจากการยอมรับว่า เรากำลังขาดอะไรบางอย่างที่ลึกกว่านั้น… และกำลังหาทางเมาเพื่อให้ตัวเองลืมว่ากำลังเจ็บอยู่


Previous
Previous

Trench Craft ศิลปะการตีความมรดกสู่ปัจจุบัน

Next
Next

6 เหตุผล…ทำไมผู้ชายสายฝอถึงทำให้ใจคุณสั่น