AI ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตนักการตลาดง่ายขึ้น...แต่ยิ่งทำให้เหนื่อยเพราะงานมันซับซ้อนขึ้น

AI ไม่ได้ช่วยให้นักการตลาดทำงานง่ายขึ้นอย่างที่ใครหลายคนพูดกันหรอก ฉันไม่ได้หมายความว่ามันไร้ค่า หรือเราควรต่อต้านมันนะ — ฉันเองก็ใช้มันทุกวัน ใช้จริงจัง ใช้ด้วยความหวังว่ามันจะพาเราไปให้ไกลกว่าเดิม และในหลายครั้ง มันก็ทำได้ดีจริงๆ อย่างน่าทึ่งด้วยซ้ำ

แต่ที่ฉันเริ่มรู้สึก คือ...เรากำลังพูดถึง “ข้อดี” กันมากเกินไป โดยที่หลุดมองสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในระดับของความรู้สึก ความเหนื่อย และความละเอียดอ่อนที่งานแบบนี้มันต้องการ บางครั้งฉันอดคิดไม่ได้ว่า พอเราเชื่อว่า AI จะทำให้งานไวขึ้น เราก็เริ่มออกแบบชีวิตให้รองรับ “ความไว” มากเกินไป จนไม่เหลือที่ให้พลาด หรือแม้แต่คิด

การให้ AI ช่วยเขียนแคปชัน ไม่ได้แปลว่าเราจะได้แคปชันที่ “ควรโพสต์” การให้ AI วิเคราะห์ยอด ไม่ได้แปลว่าเราจะเข้าใจว่า “ทำไมคนถึงไม่คลิก” และการที่ AI ทำสไลด์ pitch ออกมาให้ภายในไม่กี่วินาที ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะพูดถูกที่ ถูกเวลา หรือเข้าถึงใจใครจริงๆ

สิ่งที่ AI ทำได้ดีคือ “สิ่งที่เราสั่ง” แต่ปัญหาคือ — ใครกันแน่ที่รู้ว่าควรสั่งอะไร และถ้าเราเองยังไม่แน่ใจว่าเรากำลังจะไปทางไหน AI ก็แค่พาเราไปในทิศทางที่รวดเร็วขึ้น...เท่านั้น

ฉันไม่อยากให้บทสนทนาเรื่องเทคโนโลยีในวงการนี้มีแค่เสียงเดียว เพราะการที่ใครสักคนพูดว่า “AI ช่วยงานฉันเยอะมาก” ก็เป็นเรื่องจริงของเขา แต่ในขณะเดียวกัน การที่อีกคนหนึ่งรู้สึกว่า “ยิ่งมี AI ฉันยิ่งเหนื่อยกว่าเดิม” มันก็จริงพอๆ กัน

หลายคนอาจไม่ได้พูดออกมา

แต่กำลังรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ที่ทำงานได้ไม่ดีเท่าภาพในบทความบน LinkedIn กำลังรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ เพราะยังต้องใช้เวลาคิด prompt นานกว่าคนอื่น หรือกำลังรู้สึกแปลกแยก เพราะรู้สึกว่า AI มันฉลาด แต่มันไม่เข้าใจ

แล้วพอเปิดเข้าไปในเพจของแบรนด์ต่างๆ ที่อวดว่าใช้ AI ได้ผล เราก็ยิ่งรู้สึกว่า “เป็นเราเองสินะ ที่ตามไม่ทัน”

แต่ฉันอยากบอกตรงนี้เลยว่า การตามทัน AI ไม่ได้แปลว่าเราต้องรีบให้เท่ากับความเร็วของระบบ บางครั้ง สิ่งที่แบรนด์ต้องการไม่ใช่ content ที่ไวกว่าใคร
แต่คือคำบางคำที่คิดมาดีแล้ว ภาพบางภาพที่เลือกมาเพราะเข้าใจคนดู หรือความเงียบในวันที่ทั้งโลกกำลังส่งเสียงดังเกินไป

ฉันยังเชื่อว่า การตลาดที่ดีเกิดจากความเข้าใจคน ไม่ใช่ความไวในการสร้าง output และฉันก็ยังอยากให้เราทุกคนกล้าพูดออกมาบ้างว่า “AI ช่วยฉันในบางเรื่อง แต่ก็ทำให้บางอย่างในใจฉันหนักขึ้นเหมือนกัน” การยอมรับตรงนี้ไม่ได้แปลว่าเราล้าหลัง แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการอยู่ร่วมกับระบบ โดยไม่หลงลืมความเป็นคน เพราะสุดท้ายแล้ว ความรู้สึกของมนุษย์ก็ยังไม่เคยถูกโปรแกรมให้ทำงานแทนได้จริงๆ


Previous
Previous

สภาของเขา… ที่เราจ่าย

Next
Next

5 สิ่งที่ดิฉันไม่เสียเวลาทำอีกต่อไปในวัย 30+