Van Cleef & Arpels รังสรรค์ผลงานคอลเลคชันใหม่ “ใต้ดาษดาริกา”

ประดุจดั่งนภสินธุ์ตระการตาไปด้วยมวลรัตนชาติ ซึ่งอยู่ร่วมกับมหานวดารากระจ่างแสง แห่งแผ่นโมทิฟลวดลายต่างๆ และหมู่ดาวนักษัตรอันเพริศพรายไปด้วยไหวพริบความชำนาญแง่มุมต่างๆ ทางงานฝีมือ ความวิจิตรบรรจงในห้วงจักรวาลของ Van Cleef & Arpels ได้รับการรังสรรค์ขึ้นเป็นแนวทางการออกแบบผลงานคอลเลคชันใหม่ “ใต้ดาษดาริกา” หรือ Sous les étoiles (ซูส เลเซตวลส์)  ราวจำแลงภาพฝันแห่งแดนสรวงโดยอาศัยหนึ่งในแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจตามประวัติความเป็นมาของเมซงมาสู่เครื่องประดับชั้นสูงถึง 150 ชิ้น

Van Cleef & Arpels-01-01.jpg

เฉกเช่นบทพรรณนาสืบทอดมานานกว่าหลายศตวรรษจากเหล่านักดาราศาสตร์, นักเขียน และศิลปินหลากแขนงผู้หลงใหลในความงามแห่งเวหนจักรวาล ที่ช่วยเติมไฟฝันขับเคลื่อนวงล้อแห่งจินตนาการให้แก่บรรดานักออกแบบ, นักอัญมณศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญ และช่างฝีมือทั้งหลายของเมซง ณ จุดบรรจบระหว่างสไตล์อันทรงเอกลักษณ์ และพลังทางการใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเสรีของ  Van Cleef & Arpels คือ ผลงานแห่งความเป็นเลิศราวกับนาฏกรรมระหว่างดาวเคราะห์กับดาวฤกษ์ซึ่งดำเนินไปตามท่วงทำนองของรูปทรง และวัสดุล้ำค่านานาชนิด ภายในลีลาของเส้นกรอบที่ลื่นไหลอย่างต่อเนื่องเพื่อก่อตัวเป็นทรวดทรงรองรับประกายเจิดจรัสพรายพร่างหลากสรรพสี นี่คือการเดินทางสู่ความงดงามแห่งดาราลัยอันเหนือกว่าที่จินตนาการจะพาไปถึง

ระหว่างทอดสายตามองขึ้นไปยังความเวิ้งว้างกลางเวหน Van Cleef & Arpels ฝันถึงการดำเนินชีวิตไปตามครรลองของจักรวาล และได้สรรค์สร้างบรรดานาฬิกาข้อมือ “เวหาสจำลอง” หรือ Planétarium (ปลาเนตาริยอม) รุ่นต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นคู่สะท้อนของ “บทกวีบอกเวลา” หรือ Poetry of Time คอลเลคชันนาฬิกาข้อมือหนึ่งในผลงานสัญลักษณ์ประจำเมซง และล่าสุด ท่ามกลางความหรูหราตระการตาในอาณาจักร “ใต้ดาษดาริกา” นาฬิกาข้อมือสตรีถูกรังสรรค์ขึ้นในรูปแบบเครื่องประดับชั้นสูง Lady Arpels Planétarium ศูนย์กลางหน้าปัดนาฬิกา “เวหาสจำลอง” บนวงกำไล อาศัยการฝังรัตนชาติต่างดวงอาทิตย์, ดาวพุธ, ดาวศุกร์ และโลกกับดวงจันทร์บริวาร       ซึ่งล้วนเคลื่อนโคจรได้ดุจมีชีวิตสืบเนื่องจากกลไกควบคุมระบบพิเศษ อันเป็นงานพัฒนาร่วมกับคริสติอาง แวน เดอ คลอว์ (Christiaan van der Klaauw)

54.Planetarium watches_resize.jpg

ด้วยการใช้ระบบขับเคลื่อนดุจนาฏลีลา วิถีโคจรของดาวตกจึงบอกเวลาได้อย่างงามสง่า และเมื่อติดตั้งกลไกขึ้นลานอัตโนมัติผลิตในสวิตเซอร์แลนด์ นาฬิกาเครื่องประดับชั้นสูง “เวหาสจำแลง” Planétarium จึงกลายเป็นเวทีแสดงความพิถีพิถันในการเลือก และงานฝีมือตัดเจียนบรรดาวัสดุเลอค่าอย่างแผ่นแม่มุกมาเธอร์-ออฟ-เพิร์ล กับหินสีไข่นกการเวกหรือเทอร์คอยซ์ได้อย่างน่าจับตา

ความวิจิตรอลังการยังถูกส่งผ่านอย่างต่อเนื่องไปตามแนวโค้งตัวเรือนโอบกระหวัดรอบข้อมือรองรับลีลาไล่ลำดับเฉดของไพลินสีน้ำเงินกับพลอยดำสปีเนล เพื่อร่วมกันมอบเนื้อสีที่ล้ำลึก ทวีความลึกลับให้แก่ความเวิ้งว้างกลางเวหนตัดกับประกายระยับแสงจากเพชร, โกเมนสีเพลิงสเปซซาไทท์ และไพลินหลากสีที่นำมาฝังขึ้นลายนูนต่ำเป็นวงรัศมีก่อสัณฐานสามมิติให้แก่น้ำหนักความกว้างทางรูปทรง นอกจากนั้น ลีลาไล่ลำดับลดหลั่นของรายละเอียดเส้นโค้งนูนต่ำที่ต้องแสงทอประกายพรายพร่างยังสร้างจินตนาการถึงระลอกคลื่นรังสีเคลื่อนที่เข้ามายกตัววงหน้าปัดให้ลอยสูง งานประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ซึ่งใช้เวลาทำงานถึง 1,370 ชั่วโมง คือบทระดมความเป็นเลิศในเชิงไหวพริบพลิกแพลงทักษะความชำนาญแขนงต่างๆ ทั้งในแง่ของการผลิตนาฬิกาข้อมือ และศิลปะเครื่องประดับอัญมณี เพื่อให้ผลงานรุ่นนี้จำลองความเวิ้งว้างกลางจักรวาลมาประดับความงามบนข้อมือได้อย่างสมจริง 

นาฬิกาข้อมือเครื่องประดับชั้นสูง “เวหาสจำแลง”

ตัวเรือนทองคำขาวประกอบทองคำสีเหลือง และทองคำสีกุหลาบรองรับงานฝังไพลินหลากสีสันร่วมกับโกเมนสีเพลิง, พลอยดำ, หินกระจกอาเวนทูรีน, แผ่นแม่มุกสีชมพู, หินสีไข่นกการเวก, งานลงยา และเพชร กลไกขับเคลื่อนแบบขึ้นลานอัตโนมัติ ร่วมกับระบบขับเคลื่อนดาวเคราะห์บนหน้าปัดแบบ planetarium ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Christiaan van der Klaauw  

14.Halley Necklace and ring with interchangeable motifs_resize.jpg

“ด้วยระดับความเร็วติดปีกของดาวหาง เรากำลังเดินทางฝ่าจักรวาลท่ามกลางหมู่ดาว และดวงอาทิตย์”

สร้อยคออันโดดเด่นสะดุดตาด้วยประกายสว่างสุกใสเส้นนี้ ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากวิถีการเดินทางของดาวหางฮัลเลย์ ซึ่งถูกตั้งชื่อตามเอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ผู้ค้นพบและคาดคำนวณคาบโคจรที่จะพุ่งทะยานผ่านดาวเคราะห์โลกให้มองเห็นได้ในทุก 75 ปี  เมซงถ่ายทอดทุกองค์ประกอบแห่งลูกไฟลุกโชนโชติช่วง ซึ่งเคลื่อนดวงด้วยความเร็วสูงโดยอาศัยขั้วต่างทางเฉดสีระหว่างเพชรขาวกับเพชรเหลืองเพื่อเป็นเวทีรองรับขนาดอลังการของเพชรเหลืองสด Fancy Vivid Yellow น้ำหนัก 11.29 กะรัตที่ใช้เป็นตัวแทนส่วนหัว หรือนิวเคลียสของดาวหาง ความพิถีพิถันในงานเจียระไนทรงลูกแพร์ของรัตนชาติเก่าแก่ขนาดโอฬารเม็ดนี้ เผยให้เห็นถึงความใสบริสุทธิ์ของน้ำเพชรเนื้อสีเหลืองโทนอบอุ่นอย่างชัดเจน ส่งผลให้นี่คือหนึ่งในผลงานสุดล้ำค่าของคอลเลคชัน “ใต้ดาษดาริกา”

65_resize.jpg

บนตัวเรือนสร้อยคอทางด้านโค้งป้านของเพชรเหลืองเม็ดกลาง คืองานฝังอัญมณีบนลวดลายแถบลำแสงที่แผ่ตัวออกมาจากส่วนหัวของดาวหางเป็นเส้นยาว ถ่ายทอดความรู้สึกถึงพลังแรงแห่งการเคลื่อนไหว นอกจากจะใช้เพชรขาว และเพชรเหลืองต่างขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางจำนวนมากร่วมกันฝังลงบนรายละเอียดจำลองกระแสละอองพลาสมา หรือหางฝุ่น ซึ่งถูกผลักออกมาจากนิวเคลียสด้วยแรงดันรังสีจนก่อตัวเป็นโครงสร้างแผงสร้อยโอบกระหวัดรอบลำคอแล้ว ความประณีตทางการสร้างสรรค์ยังอาศัยทองคำสีเหลืองแถบเรียวบางฝังคาดเพื่อเน้นความคมชัดของงานกราฟิกบนตัวเรือน 

สร้อยคอดาวหางฮัลเลย์ กับแหวนเข้าชุดประกอบชิ้นโมทิฟสับเปลี่ยนได้ 

ตัวเรือนทองคำขาวประทับทองคำสีเหลืองรองรับเพชรเหลือง Fancy Vivid Yellow เม็ดเดี่ยวเจียระไนทรงลูกแพร์น้ำหนัก 11.29 กะรัต, เพชร DFL เม็ดเดี่ยว เจียระไนทรงหยดน้ำขนาด 3.26 ท่ามกลางรายละเอียดฝังเพชรขาวกับเพชรเหลือง

39.Ciel de minuit necklace.jpg

“กางปีกเหินหาว ทะยานผ่านดาราบถสู่แดนดาว!”

เพื่อยกย่องความงดงามตระการตาของทางช้างเผือกที่ทอดยาวอย่างไร้จุดเริ่มต้น และสิ้นสุด สร้อยคอ “ดาราบถรัตติกาล” Ciel de minuit จึงถูกออกแบบขึ้นเสมือนเป็นหนทางล่วงเข้าสู่แดนดาว

ภายในห้องผลิตงานของ Van Cleef & Arpels เพื่อจำลองความเวิ้งว้างกลางเวหน แผ่นโมทิฟพลอยน้ำสมุทรลาพิซ ลาซูลิ ได้รับการตัดเจียน และเจียระไนใหม่ด้วยมืออีกครั้งอย่างระมัดระวังราวกับเป็นชิ้นงานประติมากรรมเพื่อให้ได้ขนาด และสัดส่วนพอดีกับโครงสร้างตัวเรือนของสร้อยคอ ในขณะเดียวกัน ละอองสะเก็ดแร่ไพไรท์ ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วเนื้อรัตนชาติ ก็ช่างเป็นตัวแทนประกายระยิบระยับของดาวประดับฟากฟ้าได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ นอกจากนั้น บนแผ่นโมทิฟพลอยสมุทรเหล่านี้ ยังมีการแกะเซาะเป็นเบ้าลึกก่อนขัดผิวอย่างประณีตไว้รองรับงานสอดเพชรแบบฝังจม

บนริมนอกของแผ่นโมทิฟพลอยน้ำสมุทรบนตัวเรือนสายสร้อย ยังมีงานตกแต่งร้อยไพลินสลับเพชรเป็นโครงเปิดโปร่งอย่างต่อเนื่องเสมือนระลอกคลื่นละอองดาวสุกใสลดหลั่นเล่นระดับ และเพื่อให้สร้อยคอคงความงามสง่าอย่างหมดจดยามสวมใส่ ตรงรอยต่อระหว่างแผ่นโมทิฟลาพิซลาซูลิแต่ละชิ้น ยังได้รับการบดบังอำพรางอย่างแนบเนียนด้วยงานฝังไพลินหลากเฉดไล่โทนเรียงแถวอย่างแยบคาย ลูกเล่นระหว่างรัตนชาติเลอค่ากับหินประดับร่วมกับมิติรูปทรงของวัสดุนานาชนิด ก่อผลลัพธ์สุดวิจิตรบรรจงสะกดสายตาให้จับจ้องราวกับต้องมนต์เสน่ห์ความงามล้ำลึกของห้วงดาราบถรัตติกาล

สร้อยคอดาราบถรัตติกาล

ตัวเรือนทองคำขาวรองรับงานประดับแผ่นโมทิฟพลอยน้ำสมุทร, ไพลิน และเพชร

64_resize.jpg

สร้อยคอยาวดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้เส้นนี้ ได้รับการตั้งชื่อตาม Hélios (เอลียอส) หรือสุริยเทพแห่งตำนานกรีกโบราณ เป็นงานออกแบบซึ่งถ่ายทอดความรุ่งโรจน์โชติช่วงอันงดงาม และเต็มไปด้วยพลังอำนาจของ “ทยุมณี” หรือดวงตะวัน ศูนย์กลางแห่งระบบสุริยะจักรวาลผ่านการร้อยเพชรสลับไข่มุกเลี้ยงอย่างงามสง่าเป็นสายสร้อยรองรับจี้ หรือแผ่นโมทิฟฝังไพลินสีเหลืองสุดตระการตาจากศรีลังกาน้ำหนักกว่า 50 กะรัตในแนวนอน เจ้าของสีเหลืองสดเฉด     ดอกบัตเตอร์คัพ ทอประกายระยิบระยับล้อแสงจากน้ำพลอยใสกระจ่างท่ามกลางเหลี่ยมมุมของการเจียระไนทรงวงรี ตัดกับงานล้อมเพชรเดินลายดุจงานปักบนตัวเรือนทองคำสีเหลือง

พู่ระย้าร้อยไข่มุกเลี้ยงสีขาว เติมเต็มมิติความงามด้วยการทิ้งตัวแกว่งไกวลงมาจากแผ่นโมทิฟจี้สร้อยคอ กลมกลืนกับบรรดาไข่มุกล้อแสงประกายเงางาม ละมุนละไมที่ใช้ร้อยเรียงบนโครงสร้างตัวเรือนสายสร้อยขนานสลับขับประกายสุกสกาวจากเพชรเจียระไนหลากรูปทรง ซึ่งทอดยาวต่อเนื่องจนไปบรรจบกับเพชร DIF เม็ดเดี่ยวเจียระไนทรงหยดน้ำขนาด 1.11 กะรัต ซึ่งเป็นกลไกสำคัญตรงส่วนท้ายทอย

สืบเนื่องจากคุณสมบัติในการพลิกแพลงรูปแบบการสวมใส่ได้มากมายของสร้อยคอยาว เพชรเดี่ยวเม็ดท้ายทอยนี้คือตัวแปรในการปรับขนาดลดความยาวให้กลายเป็นสร้อยคอเส้นสั้น โดยอาศัยความใส่ใจในรายละเอียดที่เหล่าช่างทำเครื่องประดับมีให้ต่อการประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อมั่นใจในความยืดหยุ่นของโครงสร้างทั้งหมด ว่าจะอำนวยความสะดวกในการใช้กลไกสำหรับดัดแปลงให้กลายเป็นสร้อยคอถึงสามระดับความยาว โดยจะมี หรือไม่มีพู่ไข่มุกระย้าประดับจี้ก็ได้ เช่นเดียวกับเพชร DIF ยอดมงกุฎที่ประกบทับกลไกตัวกลัดโครงสร้างเรือนทองทางด้านหลัง ซึ่งเมื่อใช้สวมใส่อย่างครบครัน น้ำเพชรพลันล้อแสงทอประกายสว่างเรืองรองดุจเป็นรัศมีประดับเรือนผม

ไพลินสีเหลืองเจียระไนทรงวงรีน้ำหนัก 50.38 กะรัต (ศรีลังกา) ของสร้อยคอยาวทยุมณี Hélios


Previous
Previous

The Rendez-Vous Dazzling Moon Lazura , A sparkling ode to the night sky

Next
Next

JAEGER-LECOULTRE AND KIM WOO-BIN CELEBRATE THE SOUND MAKER