ไข้หวัดนกสะเทือนห่วงโซ่อาหาร โลกบราซิลสูญตลาดส่งออก

การระบาดของไข้หวัดนกในฟาร์มไก่ขนาดใหญ่ในรัฐรีโอกรันดี-ดูซูล ประเทศบราซิล ไม่เพียงส่งผลให้ประเทศผู้บริโภครายใหญ่ในเอเชียและยุโรปออกคำสั่งระงับการนำเข้าเนื้อสัตว์ปีกจากบราซิลในทันที แต่ยังเผยให้เห็นรอยรั่วสำคัญในระบบผลิตอาหารโลกที่มีความเปราะบางเกินกว่าจะเพิกเฉยต่อไปได้

บราซิลในฐานะประเทศผู้ส่งออกเนื้อไก่อันดับต้นของโลก ได้กลายเป็นจุดสนใจของสื่อ เศรษฐกร และนักระบาดวิทยาในเวลาเดียวกัน เมื่อแหล่งผลิตขนาดมหึมาในระบบอุตสาหกรรมต้องหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง เหตุการณ์นี้สร้างแรงกระเพื่อมไปยังทั้งราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก ความเชื่อมั่นของผู้นำเข้าระดับรัฐ และการพิจารณาความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของระบบอาหารที่เน้นปริมาณมากกว่าความปลอดภัย

ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจากเครือข่ายระดับโลกหลายรายเห็นตรงกันว่า นี่ไม่ใช่กรณีเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน หากแต่เป็นผลลัพธ์จากการเพิกเฉยต่อคำเตือนที่มีมานานหลายปี โดยเฉพาะในบริบทของการเลี้ยงสัตว์แบบเข้มข้น ซึ่งเอื้อให้ไวรัสสามารถกลายพันธุ์และแพร่กระจายได้ง่ายอย่างน่ากังวล

จากรายงานล่าสุดของเครือข่ายนักไวรัสวิทยา Global Virus Network พบว่า เชื้อไข้หวัดนกกำลังมีการแพร่ระบาดในหลายประเทศนอกละตินอเมริกา ไม่เว้นแม้แต่ในสหรัฐอเมริกาและอินเดีย ข้อมูลทางวิชาการล่าสุดชี้ว่า การระบาดลักษณะนี้สามารถก่อให้เกิดผลกระทบเชิงระบบที่เกินกว่าจะควบคุมได้หากไม่มีมาตรการรับมือแบบองค์รวมในระดับนโยบาย สิ่งที่น่าจับตาคือความเคลื่อนไหวจากกลุ่มทุนและสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งเริ่มมีการประเมินใหม่เกี่ยวกับการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ภายใต้แนวโน้มของการเคลื่อนไปสู่โมเดลอาหารที่มีความยั่งยืนมากกว่า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากพืช (plant-based) และนวัตกรรมโปรตีนทางเลือก

องค์กรสิ่งแวดล้อมและเครือข่ายความยุติธรรมทางสังคมหลายแห่งทั่วโลกกำลังเดินหน้าเสนอแผนปฏิรูปเงินทุนอย่างเป็นระบบ พร้อมเรียกร้องให้ธนาคารพัฒนาและรัฐบาลระดับชาติหันมาให้การสนับสนุนโครงสร้างอาหารใหม่ที่ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว จากข้อมูลจากสถาบันเศรษฐศาสตร์สุขภาพระบุว่า ต้นทุนจากการจัดการโรคระบาดใหญ่ที่มีต้นตอมาจากฟาร์มอุตสาหกรรม อาจสูงถึง 4–6% ของ GDP ขณะที่รายได้จากอุตสาหกรรมนี้คิดเป็นเพียง 0.5–1% ในหลายประเทศ สิ่งนี้สะท้อนถึงสมการที่ไม่สมดุลซึ่งผู้นำทางเศรษฐกิจทั่วโลกไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

สำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่กำลังเร่งขยายกำลังการผลิตสัตว์ปีกเพื่อตอบสนองทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบราซิลถือเป็น “กรณีศึกษาเร่งด่วน” ที่ควรนำมาใช้ทบทวนแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงอาหารอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในแง่ของการกระจายความเสี่ยงในระบบผลิตอาหาร นอกจากนี้ นักลงทุนในกลุ่มอาหารแห่งอนาคตและเทคโนโลยีชีวภาพกำลังหันมาจับตาโอกาสในธุรกิจโปรตีนทางเลือก โดยเชื่อว่าการแพร่ระบาดครั้งนี้จะเร่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิต โดยเฉพาะในตลาดที่มีความอ่อนไหวต่อโรคระบาดและมีระบบสาธารณสุขที่ตึงตัวอยู่แล้ว

คำถามสำคัญในเวลานี้คือ ภาครัฐและภาคธุรกิจพร้อมแค่ไหนในการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างอาหารจาก “ประสิทธิภาพสูง” สู่ “ความปลอดภัยสูง” และจะจัดการกับแรงเสียดทานจากโครงสร้างเดิมที่ฝังรากลึกมานานอย่างไร

การระบาดของไข้หวัดนกครั้งนี้ไม่ใช่เพียงข่าวการค้าระหว่างประเทศ แต่มันคือสัญญาณที่กำลังชี้ให้เห็นว่า โลกจำเป็นต้องทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างอาหาร เศรษฐกิจ และสุขภาพ ก่อนที่ความเสียหายจะขยายวงกว้างเกินกว่าจะเยียวยาได้ทัน


Next
Next

Montblanc x Seo Kangjun ความสง่างามผสานเสน่ห์การเดินทาง