แคมเปญระดับโลก LAVENDER RING จาก Shiseido เพื่อความงามในวันที่ร่างกายเปลี่ยน
สิ่งที่ทำให้ LAVENDER RING น่าสนใจไม่ใช่แค่ความต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2017 แต่คือการที่โครงการนี้ไปไกลกว่า “กิจกรรมเวิร์กชอปแต่งหน้า” และเข้าไปแตะโครงสร้างลึกของคำว่า คุณภาพชีวิต ในแบบที่สังคมส่วนใหญ่ไม่เคยวิเคราะห์อย่างจริงจัง เพราะเมื่อพูดถึงผู้ป่วยมะเร็ง คนจำนวนมากนึกถึงยา คีโม การฉายแสง ภาวะแทรกซ้อน การเงินที่ต้องใช้ และการรอผลตรวจรอบต่อไป ทว่าสิ่งที่สังคมหยิบมาพูดน้อยที่สุดคือ ผลกระทบด้านภาพลักษณ์ตัวเอง (body image) และผลกระทบทางจิตวิทยา ซึ่งคือ “ครึ่งหนึ่งของการรักษา” แต่กลับเป็นพื้นที่ที่ผู้ป่วยมักถูกปล่อยให้รับมืออยู่ลำพัง
เมื่อกระจกกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยไม่อยากมอง
ร่างกายที่เปลี่ยนไปจากการรักษามะเร็งไม่ใช่แค่เรื่องผิวที่แห้งลง ผมที่ร่วง หรือรอยแผล มันกระทบถึง “ความหมายของตัวตน” ผู้ป่วยจำนวนมากเล่าว่าการมองกระจกหลังคีโมคือประสบการณ์ที่หนักที่สุดหนึ่งในชีวิต เพราะมันไม่ใช่แค่การเห็นร่างกายที่อ่อนแอลง แต่เป็นการเห็น “ตัวเองที่ไม่คุ้นเคย” และนั่นทำให้ความมั่นใจถูกบั่นทอนอย่างต่อเนื่อง
งานวิจัยหลายฉบับในด้าน health psychology ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์แบบฉับพลันสามารถทำให้เกิดภาวะ:
สูญเสียอัตลักษณ์ (Identity Disruption)
ความรู้สึกด้อยคุณค่า (Low self-worth)
ความวิตกกังวลทางสังคม (Social Anxiety)
การหลีกเลี่ยงสังคม (Social Withdrawal)
การที่ Shiseido พัฒนา Life Quality Makeup เพื่อรองรับปัญหาผิวจากรอยแผลหรือการรักษา ไม่ได้แก้แค่เรื่อง “ความสวยงาม” แต่เป็นการเข้าใจด้านจิตวิทยาที่ว่า ภาพลักษณ์ใหม่ไม่ควรกลายเป็นแรงกดดันให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียความเป็นมนุษย์ลงไปเรื่อย ๆ โครงการนี้จึงไม่ใช่การพยายามทำให้ผู้ป่วย “กลับไปเหมือนเดิม” แต่ทำให้เขารู้สึกว่า “ฉันมีสิทธิ์จะรู้สึกดีในแบบที่ฉันเป็นตอนนี้”
ความมั่นใจคือทรัพยากรที่ช่วยให้การรักษามีพลัง
การรักษามะเร็งไม่ใช่การรักษาเชิงกายภาพอย่างเดียว แต่เป็นภาวะที่ทดสอบสภาพจิตใจอย่างหนัก ความเครียด ความกลัวผลตรวจ ความกังวลว่าร่างกายจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป—ทั้งหมดสามารถส่งผลต่อสมดุลฮอร์โมน การนอน ความอยากอาหาร และระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อผู้ป่วยมี “พื้นที่ทางจิตใจ” ที่ทำให้รู้สึกว่า:
ฉันมีคุณค่า
ฉันยังดูแลตัวเองได้
ฉันไม่ใช่ภาระ
ฉันไม่ถูกสายตาสังคมตัดสิน
สิ่งนี้ช่วยลดภาวะซึมเศร้าและ anxiety ที่สัมพันธ์โดยตรงกับ outcome ของการรักษา นี่คือปัจจัยทางจิตวิทยาที่โครงการ LAVENDER RING มอบให้โดยตรงแม้จะไม่ถูกพูดถึงมากนัก การที่ผู้ป่วยได้แต่งหน้า เรียนรู้การดูแลผิว และ “ยอมรับรูปลักษณ์ตัวเองในเวอร์ชันใหม่” ผ่านภาพถ่ายและข้อความที่มอบกำลังใจให้ตัวเอง คือกระบวนการที่คล้ายกับ self-affirmation therapy—การตอกย้ำความเป็นตัวเองเพื่อคงสภาวะจิตใจให้มั่นคง
ผู้ป่วยมะเร็งมักถูกทำให้เป็น ‘ผู้ป่วย’ มากกว่าเป็น ‘คนทั่วไป’
สังคมไทยยังมีอคติต่อรูปลักษณ์ของผู้ป่วย เช่น ผิวโทรม ผมร่วง หรือหน้าตาที่ดูเหนื่อยล้า แม้จะไม่มีใครพูดออกมาตรง ๆ แต่ผู้ป่วยเอง “รับรู้สายตาเหล่านั้นตลอดเวลา” สิ่งนี้ทำให้หลายคนเลือกหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม หลีกเลี่ยงการถ่ายรูป หลีกเลี่ยงการพบเพื่อน และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เคยทำ
เมื่อโครงการนี้เดินทางต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2017 จริงจังจนเติบโตสู่หลายประเทศ และจัดต่อเนื่องในไทยจนถึงปีที่ 4 มันส่งสัญญาณที่ชัดเจนกว่าแค่ CSR ว่า:
“ภาพลักษณ์ของผู้ป่วยมะเร็งไม่ควรถูกลดทอนหรือโยนทิ้งไว้หลังฉากความเจ็บป่วย”
และยิ่งไปกว่านั้น การที่ Shiseido (Thailand) มอบเงิน 100,000 บาท ให้กับโรงพยาบาลจุฬาฯ ทุกปีคือการยืนยันว่าโครงการนี้คือความใส่ใจต่อ “ความเป็นมนุษย์” ในระยะยาว ไม่ใช่กิจกรรมปีต่อปีที่หายไปเหมือน CSR จำนวนมากที่เริ่มแล้วจบตามฤดูกาล การมีโครงการเช่นนี้ต่อเนื่องกว่า 8 ปี ทำให้ผู้ป่วยในหลายประเทศเห็นว่า “มีพื้นที่ปลอดภัยหนึ่งพื้นที่บนโลกนี้” ที่เขาจะไม่ได้ถูกปฏิบัติในฐานะคนป่วย แต่ในฐานะมนุษย์ที่มีรอยยิ้ม มีความฝัน และมีศักดิ์ศรีที่ไม่ควรลดลงเพียงเพราะร่างกายกำลังต่อสู้อย่างหนัก
ความงามไม่ใช่ความฟุ่มเฟือย แต่คือสิทธิของผู้ที่กำลังรักษาตัว
ในวัฒนธรรมสังคมไทย ความงามมักถูกมองว่าเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย เป็นกิจกรรมของคนสุขภาพดี หรือคนที่อยากเติมเต็มภาพลักษณ์ภายนอก แต่สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ความงามไม่ได้มีสถานะเช่นนั้นเลย
ความงาม = การรักษาศักดิ์ศรี
ความงาม = การต่อต้านความรู้สึก “ฉันไม่ใช่ฉันแล้ว”
ความงาม = การสะท้อนว่าชีวิตยังมีพื้นที่ของความหมาย
ความจริงคือ “ความงามสำหรับผู้ป่วย” เป็นการประกาศอย่างเงียบ ๆ ว่า แม้โรคจะรุนแรงแค่ไหน ชีวิตของเขาก็ยังต้องการช่วงเวลาที่ได้ดูแลตัวเอง วัฒนธรรมไทยอาจยังไม่คุ้นเคยกับความคิดนี้ แต่ LAVENDER RING กำลังผลักกรอบสังคม ย้ายความงามจากพื้นที่ของความฟุ่มเฟือย ไปสู่พื้นที่ของ คุณภาพชีวิต
ทำไมระยะเวลา 8 ปีของโครงการนี้จึงสำคัญมาก
ถ้าโครงการนี้มีขึ้นปีเดียว ผลกระทบอาจชัด แต่ไม่ยั่งยืน แต่เมื่อโครงการนี้มีตั้งแต่ปี 2017 และยังดำเนินต่อไปในปี 2025–2026 มันกลายเป็น “สถาปัตยกรรมของความหวัง” ที่ผู้ป่วยจำนวนมากเริ่มรู้ว่า ปีหน้าก็จะยังมีพื้นที่นี้ ปีต่อไปก็จะยังมีคนที่เข้าใจพวกเขาและมันทำหน้าที่เหมือนสัญญาทางสังคมที่ว่า “คุณจะไม่ถูกละทิ้งแม้โรคจะทำลายร่างกายคุณไปทีละส่วน”
นี่คือพลังของความต่อเนื่อง พลังที่ยืนยันว่าความงามคือความเป็นมนุษย์และความเป็นมนุษย์นั้นไม่ควรสูญหายไปเพียงเพราะกำลังป่วย

