กลับมาเป็นนักอ่าน...ทำได้ไม่ยาก

บ่อยครั้งที่ฉันไปร้านหนังสือหรือเทศกาลหนังสือทีไรต้องซื้อหนังสือกลับบ้านมาตลอด แต่เมื่อถึงบ้านเอามันวางไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น จะหยิบมาก็ตอนจะออกไปไหนเพราะกะว่าจะพกไว้อ่านฆ่าเวลา แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้อ่านกลายเป็นพร๊อบประกอบการเดินทางเฉยๆ เพราะมัวแต่สไลด์หน้าจอแท็ปเล็ต และสมาร์ทโฟน หมดเวลาไปกับการดูเว็บไซต์ เฟสบุ๊ค ยูทิวป์ หนังออนไลน์เสียทุกที

PUFFxREADING.png

ฉันรู้เสมอว่า จริงๆแล้ว การอ่านหนังสือ เป็นการฝึกสมาธิและเสริมสร้างจินตนาการได้ดี ซึ่งทำให้เรารอบรู้ทั้งศาสตร์ต่างๆ และสัมผัสศิลปะของตัวอักษร อีกทั้งยังได้ใช้ความคิดตกผลึกข้อมูลต่างๆ ซึ่งดีกว่าการรับข้อมูลจากการเห็นและฟังเพียงอย่างเดียว เพราะการรับรู้สื่อเคลื่อนไหวจะทำให้เราไม่มีเวลาที่จะใคร่ครวญว่าสิ่งที่รับรู้มานั้น จริงหรือเท็จ ซึ่งผลจากการอ่านน้อยมักทำให้เราหลงผิดและโดนหลอกลวงจากข้อมูลที่มากมายในโลกไซเบอร์

ฉันเป็นหนึ่งในคนไทยที่ไม่อ่านหนังสือ
สำนักงานสถิติแห่งชาติเผยสถิติคนไทยไม่อ่านหนังสือในสัปดาห์หนังสือครั้งที่ 47 พบว่ามีถึงร้อยละ 21.2 คิดเป็นจำนวนประชากร 13.7 ล้านคน ด้วยหตุผลของการไม่อ่านมีตั้งแต่ชอบดูทีวี ไม่มีเวลา อ่านไม่ออก ไม่ชอบ ไม่สนใจการอ่าน ชอบเล่นเกม รวมทั้งไม่มีเงินซื้อหนังสือเป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่า วัยผู้ใหญ่ 25-50 ปี ที่ไม่ชอบอ่านหนังสือมีถึงร้อยละ 32.8*

พออ่านข่าวเรื่องการอ่านหนังสือแล้วก็สะท้อนถึงตัวฉันเอง

แต่ฉันไม่อยากเป็นคนไทยที่ไม่อ่านหนังสือ ทั้งๆที่ฉันเองเป็นคนที่ "รักการอ่าน…รักหนังสือ” มาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว แต่พอโตมากลับอ่านหนังสือน้อยลงทุกที แม้จะชอบเข้าร้านหนังสือ ชอบกลิ่นอายของกระดาษอยู่ก็ตาม ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไปความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น การเลือกซื้อหนังสือก็เปลี่ยนไปเป็น E-Book หรือหากอยากซื้อเป็นเล่มฉันก็สามารถสั่งซื้อหนังสือได้ง่ายดายผ่าน เว็ปขายหนังสือทางออนไลน์อย่าง Readery.co ถึงแม้จะซื้อแบบ E-Book โหลดไว้แต่ก็ยังคงไม่ได้อ่านเช่นเดิม ปัญหาการไม่ได้อ่านหนังสือของฉันเกิดจากการทำงานที่เลิกเย็น เดินทางผ่าการจราจรติดขัด กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านก็สลบเหมือดทุกครั้งเมื่อถึงที่นอน เห็นไหมล่ะว่า ความรักหนังสือมันช่างไม่สอดคล้องกับการอ่านหนังสือของฉันเลย

เป้าหมายของฉัน
ฉันไม่ยอมย่อท้อต่อการอ่านหนังสือง่ายๆ…ฉันจึงวางแผนการอ่านหนังสือใหม่อีกที โดยตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือให้ได้อย่างน้อยก็ 4 เล่มต่อเดือน จากบทความที่เคยอ่านมาเขาใช้แนวคิดในการหาค่าเฉลี่ยของหน้าหนังสือต่อปี ฉันเอาแนวคิดนั้นมาคิดต่อในแบบที่ฉันอ่าน เขาบอกว่า ค่าเฉลี่ยคนส่วนใหญ่อ่านหนังสือ 50 หน้าต่อชั่วโมง แล้วฉันจะให้เวลาวันละ 1 ชั่วโมงต่อการอ่านในแต่ละวัน มันเท่ากับ 7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งฉันจะอ่าน 16,800 หน้าต่อปี ถ้าหนังสือที่เลือกอ่านอยู่ประมาณ 200 หน้าเท่ากับว่าหนึ่งปีฉันจะได้อ่านหนังสือดีๆถึง 84 เล่ม หนึ่งเดือนก็จะอ่านได้ 7 เล่มเชียวนะ

เลือกหนังสือ…จุดเริ่มต้นอ่าน
การอ่านหนังสือให้สนุกและติดงอมแงมเริ่มต้นมาจากการเลือกหนังสือ จงพิถีพิถันกับการเลือกซื้อในทุกครั้งเพราะราคาหนังสือหนึ่งเล่มไม่ถูกเลย ถ้าซื้อก็ต้องอ่านให้คุ้มค่า ให้เกิดประโยชน์ เมื่อเลือกซื้อนั้นจึงจำเป็นต้องอ่านจากบทคัดย่อ อ่านตัวอย่างรูปแบบการเขียน หรืออาจเลือกจากนักเขียนหรือนักแปลในสไตล์ที่ชอบก็ได้ เคล็ดลับการซื้อหนังสือให้สามารถอ่านได้ต่อเนื่องคือการซื้อหนังสือเป็นชุด ข้อดีของการซื้อหนังสือเป็นชุดคือมันจะทำให้เวลาอ่านหนังสือเราได้อิ่มเอมกับบทประพันธ์อย่างเต็มที่ สามารถเรียงลำดับข้อมูลและเนื้อหาต่างๆในสมองได้อย่างเป็นระบบอีกด้วย ถึงแม้การซื้อหนังสือเป็นชุดจะราคาสูง แต่ถ้าการลงทุนซื้อเป็นชุดแล้วจะทำให้เราได้ฝึกและกลับมาเป็นนักอ่านตัวยงอีกครั้ง ฉันว่ามันก็คุ้มค่าอยู่

อย่าบังคับแต่ให้ตั้งเป้าหมาย
นิสัยของฉันคือไม่ชอบถูกบังคับ ฉันจะทำตามวิถีความคิดของฉันเองมาตลอด ซึ่งการอยากกลับมาเป็นนักอ่านครั้งนี้ฉันจะไม่กำหนดเวลาว่าต้องอ่านตอนไหน แต่ฉันจะเปลี่ยนพฤติกรรมการอ่านโดย ฉันจะอ่านหนังสือทุกที่ทุกเวลาตามโอกาสที่เหมาะสม โดยวางเป้าหมายไว้ 50 หน้าเพื่อท้าทายตัวเอง ดังนั้นถ้าฉันเดินทางแล้วไม่ต้องขับรถเองฉันก็จะอ่าน เวลารอใครอยู่ฉันก็จะอ่าน พักกลางวันทานอาหารเที่ยงฉันก็จะอ่าน แต่ก็ต้องรู้กาลเทศะเช่นกัน อย่างน้อยการให้เวลากับการอ่านหนังสือสักนิด มันก็เท่ากับฉันได้ฝึกสมาธิไปในตัว

ใจความสำคัญ…ต้องทำไฮไลท์
หนังสือหนึ่งเล่มไม่ใช่ทุกคำและทุกประโยคจะมีความสำคัญต่อเราหมด บางทีฉันอ่านไปเจอประโยคโดนใจฉันจะไม่พลาดที่จะทำไฮไลท์ไว้เสมอซึ่งเป็นนิสัยที่ติดมาจากตอนเรียน ฉันจะบอกว่าหนังสือเป็นสิ่งที่เราซื้อมาดังนั้นเราจะขีดเขียนตรงไหนก็ได้ แต่บางคนอาจจะชอบที่จะเก็บหนังสือให้ดูสะอาดตาเหมือนตอนซื้อมาใหม่ๆ ถ้าคุณเป็นคนแบบนี้ ฉันอยากจะแนะนำว่าคุณอาจจะมีสมุดจดไว้ข้างตัวเพื่อไว้จดโน๊ตแทนก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าอ่านแบบดิจิทัลยิ่งง่ายในการเก็บข้อมูลไปใหญ่ ดังนั้นอย่าลืมเก็บข้อมูลไว้นะ ถ้าอยากหยิบหนังสือเล่มนั้นมาอ่านเพื่อหาไอเดียบางอย่างอีกครั้ง เราก็จะหามันเจอได้ง่ายขึ้น

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีก้าวไปเร็วเท่าไร การอ่านหนังสือยิ่งจำเป็นเท่านั้น เพราะเราต้องหมั่นฝึกสมอง ฝึกจินตนาการเยอะๆ เพื่อให้เกิดปัญญาในการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ถูกเทคโนโลยีครอบงำ.

อ้างอิง* https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_2385678

Previous
Previous

CELINE DION กลับมาแล้วพร้อมกับซิงเกิล 3 เพลง

Next
Next

Lonely Night เพลงใหม่ 'เป็ก' โดนใจนุช