Your Life Is Not a Podcast
ชีวิตจริงที่ไม่ควรถูกสั่งจากเสียงของคนแปลกหน้า
ในวันที่ใคร ๆ ก็มีคำตอบให้ชีวิตของเรา มีคนพร้อมบอกเราว่า ควรเลิกอะไร ควรตัดใคร และควรเปลี่ยนตัวเองเดี๋ยวนี้
บทความนี้ไม่ได้จะห้ามคุณฟังใคร แต่จะชวนกันตั้งคำถามว่า เสียงเหล่านั้นกำลังช่วยคุณคิด หรือแค่กำลังพูดแทนคุณ เพราะชีวิตจริงไม่ได้มีปุ่มหยุด ไมค์ปิด หรือ เทคที่สอง และไม่ควรถูกสรุปด้วยเสียง ของใครที่ไม่เคยนั่งฟังคุณจริง ๆ
บางครั้งผมก็สงสัยว่า โลกเราเดินมาถึงจุดไหนแล้ว ถึงมีระบบหนึ่งทั้งระบบคอยบอกเราว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร ทั้งที่ชีวิตควรเป็นของเราเอง คำแนะนำเหล่านี้ไม่ได้มาในรูปแบบเดียว แต่มาเป็นเครือข่าย ตั้งแต่หนังสือพัฒนาตนเอง คอร์สออนไลน์ ไลฟ์โค้ช พอดแคส ไปจนถึงคอนเทนต์สั้น ๆ ที่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเหมือนรู้คำตอบของชีวิตทั้งหมด ระบบนี้เติบโตขึ้นพร้อม ๆ กับความรู้สึกไม่มั่นคงของคนในสังคม และทำหน้าที่เดียวกันคือ แปรความลังเลของมนุษย์ให้กลายเป็นสิ่งที่ต้องถูกแก้ไขตลอดเวลา
ตั้งแต่เด็กจนโต เราถูกสอนให้เชื่อในสูตรสำเร็จ ตั้งใจเรียน ทำงานหนัก อดทน แล้วชีวิตจะดีเอง แต่พอถึงวันที่ต้องตัดสินใจจริง วันที่ไม่มีข้อสอบ ไม่มีเฉลย และไม่มีใครรับรองผล เรากลับพบว่าสิ่งที่ขาดไม่ใช่ความรู้ แต่คือความมั่นใจว่าจะอยู่กับผลของการเลือกนั้นได้ ความกลัวนี้ไม่ได้เกิดจากความโง่ แต่มาจากโลกที่ทำให้ความผิดพลาดแพงเกินไป และเมื่อความกลัวกลายเป็นสภาพปกติ ระบบให้คำแนะนำเรื่องชีวิตก็เริ่มมีมูลค่า
ไลฟ์โค้ชจึงเกิดขึ้นในช่องว่างนี้ ไม่ใช่ในฐานะผู้รู้ทุกอย่าง แต่ในฐานะคนที่รับฟังได้ในจุดที่คนอื่นไม่อยากฟัง ไลฟ์โค้ชที่ทำหน้าที่ของตัวเองจริง ๆ ไม่ได้ขายคำตอบใหม่ เพราะคำตอบพื้นฐานไม่ใช่ความลับของโลกอีกต่อไป สิ่งที่เขาทำคือสร้างพื้นที่ให้คนหนึ่งคนกล้าพูดความคิดของตัวเองออกมาโดยไม่ถูกรีบแก้ ไม่ถูกรีบตัดสิน และไม่ถูกทำให้ชีวิตที่ยุ่งเหยิงดูง่ายเกินจริง ความเงียบในบทสนทนาแบบนี้ทำงานหนักกว่าคำพูด เพราะมันไม่เปิดช่องให้หลบเลี่ยง และบังคับให้ยอมรับว่า ปัญหาหลายอย่างไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เราพยายามทำให้มันซับซ้อน เราแค่ยังไม่กล้าเลือก
แต่ในเวลาเดียวกัน ระบบเดียวกันนี้ก็ผลิตเสียงอีกแบบหนึ่งออกมา เสียงของคนที่ไม่รอจะฟังใครเลย เสียงที่มั่นใจเร็วเกินไป และดังพอจะกลบความลังเลของตัวเอง พอดแคสและคอนเทนต์เสียงจึงกลายเป็นพื้นที่ที่ความคิดซึ่งยังไม่ตกผลึก ถูกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งจนฟังดูเหมือนปัญญา โครงสร้างของสื่อแบบนี้เอื้อให้ใครก็เป็นผู้รู้ได้ โดยไม่ต้องพิสูจน์ผลลัพธ์กับชีวิตจริง พูดแล้วจบ ไม่ต้องอยู่กับผลของคำพูดนั้น
แม้แต่ Close Friends ที่ดูเหมือนพื้นที่สนิทสนม ก็มีด้านกลับที่เล่นกับความรู้สึกของเราได้แบบเงียบๆ การได้อยู่ใน CF อาจเป็นสัญญาณว่าคุณได้เห็นเวอร์ชันของเขาที่ไม่ฟิลเตอร์ เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่เขายอมให้เห็นความเป็นมนุษย์มากขึ้น แต่ก็อาจกลายเป็นมายาที่ทำให้คุณรู้สึกพิเศษ ทั้งที่ในชีวิตจริงเขาแทบไม่พยายามเข้าหาคุณเลย การถูกใส่ไว้ในวงสีเขียวไม่ได้แปลว่าคุณมีสถานะ ถ้าความสัมพันธ์นอกจอไม่เคลื่อนที่ คุณก็ยังเป็นเพียงหนึ่งในหลายชื่อที่ช่วยเติมความรู้สึกว่ามี “คนดูแล” อยู่รอบตัวเขา
เหนือสิ่งอื่นใด ความเงียบในยุคนี้ดังกว่าที่เคย เมื่อคุณโพสต์สิ่งสำคัญในชีวิต แล้วคนที่คุณคาดหวังดูแต่ไม่แสดงปฏิกิริยา มันตีความง่ายมากว่าเขาไม่แคร์ ทั้งที่ความจริงคือชีวิตของแต่ละคนไม่ได้ผูกอยู่กับหน้าจอเสมอไป ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน—แบบที่เติบโตจริง ไม่ใช่แบบที่ต้องตอบกันทุกนาที—ต้องการพื้นที่ให้หายใจ ต้องการจังหวะที่ต่างฝ่ายได้เป็นตัวเอง ความเงียบจึงไม่ใช่การปฏิเสธเสมอไป แต่เป็นจังหวะพักที่ช่วยให้ความสัมพันธ์แข็งแรงขึ้น หากมีพื้นฐานของความเข้าใจกันอยู่แล้ว
คนอวดรู้จำนวนหนึ่งไม่ได้อยากสอนใครเสมอไป หลายครั้งเขาแค่อยากยืนยันกับตัวเองว่าเขามีตัวตน การได้ยินเสียงตัวเองผ่านไมโครโฟนช่วยกลบความไม่แน่ใจข้างใน คำศัพท์จิตวิทยาถูกหยิบมาใช้แบบตัดตอน คำอย่าง healing, self-love, boundaries กลายเป็นคำสั่งมากกว่าเครื่องมือทำความเข้าใจ และเมื่อภาษาบำบัดถูกใช้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ มันก็เปลี่ยนจากการเยียวยาเป็นการควบคุมโดยไม่รู้ตัว
ความต่างระหว่างไลฟ์โค้ชกับเสียงเหล่านี้จึงไม่ได้อยู่ที่ความฉลาด แต่อยู่ที่ความรับผิดชอบ ไลฟ์โค้ชต้องนั่งอยู่ตรงหน้าคนอีกคนหนึ่ง ทุกคำถามมีน้ำหนัก เพราะมันกระทบการตัดสินใจของชีวิตจริง แต่เสียงในพอดแคสจำนวนมากไม่ต้องรับผลอะไรเลย ความคิดถูกปล่อยออกไปอย่างเบา เหมือนมันไม่ต้องไปอยู่กับใครต่อ
ผมไม่ได้คิดว่าพอดแคสผิด หรือไลฟ์โค้ชถูก โลกไม่ได้แบ่งง่ายขนาดนั้น สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ เราเริ่มแยกไม่ออกระหว่างคนที่กำลังคิดกับคนที่กำลังแสดงว่าคิด ระหว่างบทสนทนาที่เปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถามกับคำพูดที่ทำให้เรารู้สึกฉลาดขึ้นชั่วคราวโดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไรในชีวิตจริง
ทุกครั้งที่ผมนั่งดูคลิปแล้วได้ยินใครสักคนพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า คุณต้องเลิกทำอันนี้ คุณควรตัดคนนั้นออก คุณต้องเปลี่ยนชีวิตเดี๋ยวนี้ ความรู้สึกแรกของผมไม่ใช่แรงบันดาลใจ แต่คือการต่อต้าน เพราะชีวิตจริงไม่ใช่คลิปสั้น ๆ ไม่มีใครรู้ว่าผมแบกอะไรอยู่ และไม่มีใครควรยึดพวงมาลัยชีวิตของคนอื่น โดยไม่เคยนั่งฟังเขาจริง ๆ หลายสิ่งที่คนยังทำอยู่ไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่ามันไม่ดี แต่เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้เขายืนอยู่ได้ในช่วงเวลานั้น คำสั่งที่ฟังดูเด็ดขาดจึงอาจดูเท่ในสายตาคนดู แต่ลึก ๆ แล้วมันคือความขี้เกียจ ขี้เกียจเข้าใจบริบท และขี้เกียจยอมรับว่ามนุษย์ซับซ้อนกว่าประโยคสั้น ๆ
โค้ชที่ดีไม่ควรสั่งว่าเราต้องทำอะไร แต่ควรถามว่าเราพร้อมหรือยังจะเปลี่ยน และถ้ายังไม่พร้อม อะไรคือสิ่งที่เรากำลังปกป้องอยู่ ความต่างระหว่างการชี้ทางกับการสั่งชีวิตมันห่างกันมาก การสั่งนั้นง่าย มันทำให้คนพูดดูเหนือกว่า แต่การฟัง การรอ และการยอมรับว่าคนตรงหน้าอาจยังไม่เปลี่ยน ต้องใช้วุฒิภาวะมากกว่านั้นมาก
บางทีเหตุผลที่เรายังต้องมีไลฟ์โค้ช ไม่ใช่เพราะเราอ่อนแอ แต่เพราะเราอยู่ท่ามกลางระบบที่เสียงดังเกินไป เสียงที่พูดเก่งเกินไป จนเราไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง และบางทีเหตุผลที่คนอวดรู้ถึงชอบทำพอดแคส ก็เพราะการฟังตัวเองพูดดัง ๆ มันง่ายกว่าการยอมรับว่า ยังมีหลายอย่างที่เรายังไม่รู้
ถ้าวันไหนคุณดูคลิปแล้วรู้สึกว่าเสียงในคลิปดังเกินเสียงในหัวของคุณเอง นั่นไม่ใช่สัญญาณให้เชื่อใคร แต่เป็นสัญญาณให้ปิดคลิป แล้วกลับมานั่งอยู่กับชีวิตของตัวเองอีกครั้ง
