Puff.

View Original

สงกรานต์เชียงใหม่: รอยยิ้มเปื้อนแป้ง บดบังด้วยม่านหมอกพิษ

เทศกาลสงกรานต์ ประเพณีอันงดงามของไทย ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาสัมผัสความสนุกสนาน แต่ท่ามกลางรอยยิ้มเปื้อนแป้ง กลับมี "ม่านหมอกพิษ" PM2.5 ปกคลุมเมือง

แหล่งข่าวต่างประเทศ จาก The Guardian นำเสนอเรื่องราว "นักท่องเที่ยวแห่ร่วมสงกรานต์เชียงใหม่ ท่ามกลางความกังวลเรื่องฝุ่นควัน" ในขณะทางด้าน Reuters รายงานว่า "รัฐบาลไทยเตรียมพร้อมรับมือปัญหามลพิษทางอากาศในช่วงสงกรานต์”

คำถามสำคัญ เกิดขึ้นว่า

  • ความปลอดภัย ของนักท่องเที่ยวและประชาชน

  • ภาพลักษณ์ การท่องเที่ยวไทย

  • ความรับผิดชอบ ของภาครัฐ

จากข้อมูลล่าสุด (9 เมษายน 2567) เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่ากังวล: เชียงใหม่ เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ฝุ่นควัน PM2.5 ที่รุนแรงเผยให้เห็นภาพอันน่าตกใจ:

  • เชียงใหม่ครองอันดับ 1 ของโลก: ในด้านค่า PM2.5 สูงสุด (Air4Thai)

  • สถิติโรคมะเร็งปอด: เพิ่มสูงขึ้น 20% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (สถาบันมะเร็งแห่งชาติ)

  • ผลวิจัย: ชี้ว่าฝุ่น PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอด 20% (Harvard University)

  • จุดความร้อน: กว่า 2,437 จุด ปรากฏใน 9 จังหวัดภาคเหนือ(กรมควบคุมมลพิษ)

ทว่ามาตรการ ที่รัฐบาลเตรียมไว้

  • ประกาศให้ WFH ในบางพื้นที่ โดยจังหวัดเชียงใหม่ประกาศให้ WFH 3 วัน (5-7 เมษายนและจะมีการขยายเวลาต่อ) ส่วนอีก 13 จังหวัดภาคเหนือเตรียมประกาศ WFH เช่นกัน

  • แจกจ่ายหน้ากากอนามัย

  • ฉีดพ่นละอองน้ำ เพื่อลดฝุ่นควัน

ซึ่งมาตรการเหล่านี้เพียงพอหรือไม่?

นิตยสาร พัฟ. มองปัญหานี้อย่างลึกซึ้งเรา ไม่ได้มองแค่ "จำนวนนักท่องเที่ยว" แต่มองถึง "คุณภาพชีวิต" ของประชาชนและ "ความยั่งยืน" ของการท่องเที่ยวไทย

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องจริงจังกับความวิกฤตของปัญหาฝุ่นควันเมืองเหนือ

ฝุ่นควัน PM2.5 ไม่ได้เป็นเพียงภัยคุกคามต่อสุขภาพ แต่ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ด้วยสงกรานต์ปีนี้ คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยว 2 ล้านคน หลั่งไหลเข้าสู่ภาคเหนือ เงินสะพัดกว่า 2 หมื่นล้านบาท

คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น ว่าระหว่าง "การท่องเที่ยว" กับ "สุขภาพของประชาชน" อะไรควรมาเป็นอันดับแรก?

ทางออกที่เป็นไปได้ ประกอบด้วย:

  • ความจริงจังจากภาครัฐ ในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด รณรงค์ลดการเผา และหามาตรการลดฝุ่นควัน PM2.5 ที่มีประสิทธิภาพ

  • ความร่วมมือจากประชาชน ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยฟอกอากาศ

ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 เป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน หนึ่งในสาเหตุหลักคือ การเผา เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

รัฐบาล เองนั้นมีแนวทางช่วยเกษตรกรเตรียมพื้นที่เพาะปลูกโดยไม่เผา ดังนี้

1. ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

  • รณรงค์ให้เกษตรกรตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบของการเผา (กรมควบคุมมลพิษ, 2567)

  • สนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เช่น การไถกลบ การใช้เครื่องย่อยวัตถุดิบ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2567)

  • สนับสนุนเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ช่วยลดการเผา เช่น เครื่องย่อยวัตถุดิบชีวมวล (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, 2567)

2. สนับสนุนทางการเงิน

  • จ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรที่ไม่เผา (คณะรัฐมนตรี, 2566)

  • สนับสนุนเงินทุนสำหรับการปรับเปลี่ยนวิธีการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, 2567)

3. พัฒนาระบบบริหารจัดการ

  • จัดตั้งศูนย์ข้อมูลและติดตามสถานการณ์การเผา (กรมควบคุมมลพิษ, 2567)

  • พัฒนาระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือน (กรมอุตุนิยมวิทยา, 2567)

  • พัฒนาระบบจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (กระทรวงมหาดไทย, 2567)

สำหรับในจังหวัดเชียงใหม่เองนั้นก็ได้มี การประกาศจังหวัดเชียงใหม่ปี 2567 ออกมาให้ทราบทั่วกันในเรื่อง "กำหนดเขตบริการจัดการเชื้อเพลิงและเขตควบคุมการเผาของจังหวัดเชียงใหม่”

  • เขตบริหารจัดการเชื้อเพลิง สามารถบริหารจัดการเชื้อเพลิงทางการเกษตร และพื้นที่ป่าที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าและพื้นที่ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการหยุดยั้งการลุกลามของไฟตามหลักวิชาการ โดยดำเนินการตามแผนการบริหารเชื้อเพลิงที่ได้จัดทำในระดับอำเภอและตำบล และให้นำข้อมูลลงทะเบียนในระบบการจองจัดการเชื้อเพลิงในระบบ Fire-D หรือ BumnCheck ณ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระดับอำเภอหรือระดับตำบลพิจารณาอนุญาตก่อนดำเนินการพร้อมทั้งให้จัดทำแนวกันไฟและควบคุมไฟมีให้ลุกลามไปยังพื้นที่อื่น และเมื่อดำเนินการเสร็จแล้วให้รายงานผลการดำเนินงานในระบบ Fire-0 หรือ BurnCheck ทุกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 - 31 พฤษภาคม 2567

  • เขตควบคุมการเผา คือ พื้นที่นอกเขตบริหารจัดการเชื้อเพลิง ห้ามมิให้มีการเผาในที่โล่งทุกชนิต ในพื้นที่ชุมชนห้ามให้มีการเผาขยะ เศษกึ่งไม้ใบไม้ทุกชนิด โดยผู้ฝ่าฝืนหรือปล่อยปละละเลย ให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเต็ดขาดในทุกกรณี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 เมษายน 2567

แต่ เชียงใหม่ ยังคงติดอันดับหนึ่งของโลก… อะไรกันที่เป็นตัวสกัดความสำเร็จ ระบบทุนนิยม? หรือความหย่อนยานต่อมาตรการ จะเป็นอะไรนั้นคือสิ่งที่รัฐควรต้องมีคำตอบ…

อย่างไรก็ตามเราขอถอดบทเรียนการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากประเทศสิงคโปร์

สิงคโปร์ ประสบปัญหาฝุ่นควันจากการเผาในพื้นที่เกษตรเช่นกัน รัฐบาลสิงคโปร์มีนโยบาย "ห้ามเผา" โดยเด็ดขาด

มาตรการที่ใช้ ดังนี้

  • บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด (National Environment Agency, Singapore)

  • ร่วมมือกับเกษตรกรหาแนวทางอื่น (Singapore Food Agency)

  • สนับสนุนเทคโนโลยีและเครื่องมือ (Ministry of Sustainability and the Environment)

  • ให้ความรู้และสร้างความตระหนัก (National Environment Agency, Singapore)

ผลลัพธ์: ปัญหาฝุ่นควันจากการเผาในสิงคโปร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (Ministry of the Environment and Water Resources) ซึ่งนี่เป็นบทเรียนที่รัฐบาลไทยสามารถนำแนวทางจากสิงคโปร์มาปรับใช้ได้ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

รัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชน ต้องร่วมมือกันเพื่ออากาศบริสุทธิ์ในอนาคตสำหรับทุกคน

แหล่งอ้างอิง

  • กรมควบคุมมลพิษ. (2567). แนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจากการเผาในที่โล่ง

  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (2567). มาตรการลดการเผาในพื้นที่การเกษตร

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล. (2567). เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5

  • คณะรัฐมนตรี. (2566). มาตรการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ

เพิ่มเติม:

  • รัฐบาลประกาศแผนแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ 5 ปี ตั้งเป้าลด PM2.5 ลง 20% งบประมาณ 25,000 ล้านบาท

  • ประชาชนสามารถติดตามค่าฝุ่นควัน PM2.5 ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Air4Thai, IQAir

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ณ วันที่ 9 เมษายน 2567