ต่อโปรคือกลยุทธ์ หรือแค่ความไม่กล้าในการตัดสินใจ
ในหลายองค์กร การต่ออายุทดลองงานหรือ “ต่อโปร” มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเลื่อนการตัดสินใจออกไป โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้บริหารยังไม่แน่ใจในศักยภาพของพนักงาน หรือยังไม่สามารถหาผู้ที่เหมาะสมมาทดแทนได้ การตัดสินใจเช่นนี้อาจดูเหมือนเป็นการให้โอกาสเพิ่มเติม แต่อันที่จริงแล้ว อาจสะท้อนถึงโครงสร้างการบริหารที่ยังขาดความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างตรงไปตรงมา
หากพิจารณาในเชิงโครงสร้างองค์กร การต่อโปรโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า มักเกิดขึ้นจากความไม่พร้อมของฝ่ายบริหารในการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ซึ่งอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น การขาดเกณฑ์การประเมินที่เป็นระบบ การกระจายอำนาจที่ไม่ชัดเจนระหว่างฝ่ายทรัพยากรบุคคลและหัวหน้างาน หรือแม้กระทั่งความกลัวต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเลิกจ้างพนักงานใหม่ก่อนครบกำหนด
แม้จะดูเหมือนเป็นเพียง “ทางเลือกกลาง” แต่ในความเป็นจริงแล้ว การตัดสินใจให้พนักงานอยู่ต่อภายใต้สถานะทดลองงาน มีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร ทั้งนี้เพราะพนักงานต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถคาดการณ์อนาคตของตนในองค์กรได้อย่างมั่นใจ
จากรายงานของ Harvard Business Review ระบุว่า ความไม่ชัดเจนในบทบาทและอนาคตของพนักงาน คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความเครียดเรื้อรังและภาวะหมดไฟในการทำงาน (burnout) โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความเป็นธรรมของระบบการจ้างงานมากเป็นพิเศษ
ในมุมของพนักงาน การถูกต่อโปรอาจทำให้เกิดคำถามภายในจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า “ยังเหมาะกับที่นี่หรือไม่” หรือ “องค์กรเห็นคุณค่าในตัวเราจริงหรือเปล่า” ความรู้สึกไม่มั่นคงเหล่านี้สามารถกัดกินความมั่นใจในตนเองได้ในระยะยาว และหากไม่มีการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ก็ยิ่งเพิ่มความคลุมเครือให้กับความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับองค์กรมากขึ้นไปอีก
แม้จะเข้าใจได้ว่าในบางสถานการณ์ การต่อโปรอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เช่น ในกรณีที่พนักงานแสดงศักยภาพบางด้านได้ดีแต่ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงอย่างเฉพาะเจาะจง อย่างไรก็ตาม องค์กรที่มีธรรมาภิบาลที่ดีควรมีแนวทางการต่อโปรที่โปร่งใสและมีเป้าหมายร่วมกัน ไม่ใช่การใช้เพื่อถ่วงเวลา หรือเลี่ยงการรับผิดชอบต่อคำว่า “ไม่ผ่าน”
องค์กรที่บริหารด้วยความมั่นคงทางจิตใจและหลักการ มักจะเลือกสื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับพนักงาน ทั้งในกรณีที่ผ่านโปร และในกรณีที่ไม่ผ่าน เพราะเชื่อว่าการให้ความชัดเจน คือสิ่งที่เคารพในศักดิ์ศรีของคนทำงานมากที่สุด
ในขณะที่บทบาทขององค์กรมีความสำคัญ พนักงานเองก็ต้องย้อนถามตนเองอย่างจริงใจว่า ยังอยากเติบโตในที่แห่งนี้หรือไม่ และยังรู้สึกมีแรงบันดาลใจในการทำงานอยู่หรือเปล่า การต่อโปรอาจเป็นโอกาสที่ดี หากทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจตรงกันและมีเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจน แต่หากสิ่งที่เกิดขึ้นคือความเงียบ การเลี่ยงความจริง และการเลื่อนการตัดสินใจโดยไม่มีเหตุผลรองรับอย่างเป็นระบบ การอยู่ต่ออาจกลายเป็นภาระทางอารมณ์ที่บั่นทอนความมั่นใจของพนักงานมากกว่าที่คิด
การอยู่ต่อแบบคลุมเครือ ไม่มีใครได้ประโยชน์ระยะยาว และในวันที่องค์กรยังไม่กล้าตัดสินใจ คุณเองก็ไม่ควรหยุดชีวิตไว้กับความลังเลของใคร

