ลุ้นตายจากสะพานความซ้ำซากที่รัฐรับผิดชอบแล้วหรือ?

ในเช้าธรรมดาที่ใครบางคนกำลังขับรถผ่านเส้นพระราม สะพานด้านบนกลับกลายเป็นกับดักกลางอากาศ เศษหินปูนหลุดร่วงลงมาจากโครงสร้างเหนือหัว กระแทกรถอย่างจัง ไม่ต่างจากคำเตือนของเมืองที่กำลังแหลกสลายช้า ๆ ภายใต้ระบบราชการที่เฉยเมยต่อความทุกข์ของประชาชน

เราพูดถึง กระทรวงมหาดไทย — หน่วยงานหลักที่ดูแลเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การปกครองท้องถิ่น และความปลอดภัยสาธารณะ ทว่าสิ่งที่ประชาชนได้ยินกลับเป็นความเงียบ หรือคำอธิบายที่หลีกเลี่ยงความชัดเจน ราวกับว่า “เศษปูนที่หล่น” ไม่ใช่ความผิดของใคร และไม่ต้องมีใครออกมาแสดงความรับผิด

แต่เรื่องนี้ไม่จบแค่รถบุบ

เพราะเส้นทางพระรามคือหนึ่งในเส้นทางเชื่อมระหว่างกรุงเทพฯ กับภาคใต้ เป็นทางผ่านของนักท่องเที่ยวจากสนามบิน, รถเช่า, รถทัวร์ และรถยนต์ส่วนตัว ที่จะมุ่งสู่หัวหิน ชะอำ ปราณบุรี ไปจนถึงสุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และกระบี่

เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ การเดินทางผ่านเส้นนั้นกลายเป็นความเคลือบแคลง นักท่องเที่ยวบางรายอาจเลือกเลี่ยง ไม่ใช่แค่เพราะกลัวรถพัง — แต่เพราะกลัวจะไม่มีใครรับผิดชอบหากเกิดอุบัติเหตุจริง ๆ ซึ่งสำหรับประเทศไทยที่กำลังพยายามดึงนักท่องเที่ยวกลับมาหลังโควิด ความประมาทเพียงครั้งเดียวของรัฐ อาจเท่ากับความเชื่อมั่นที่พังทลาย

เศษหินปูนจึงไม่ใช่แค่เศษวัสดุ — มันคือเศษซากของระบบการบริหารที่ไม่ฟังเสียงประชาชน

นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก หากเราย้อนดู จะพบว่าเหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา

  • ปี 2561: เศษวัสดุก่อสร้างจากโครงการต่อเติม BTS ร่วงใส่จักรยานยนต์

  • ปี 2564: เศษคอนกรีตตกจากทางด่วนเฉลิมมหานคร บนถนนพระราม 2

  • ปี 2566: เหล็กจากงานซ่อมสะพานลอยย่านบางนาหล่นใส่รถ

  • ปี 2568: ล่าสุด เศษหินปูนจากสะพานย่านพระรามร่วงหล่นใส่รถยนต์ประชาชนอย่างไม่ทันตั้งตัว

หน่วยงานที่ควรตรวจสอบกลับนิ่งเฉย

ในทางโครงสร้างราชการ งานดูแลซ่อมแซมถนนและสะพานถูกแบ่งอำนาจออกเป็นหลายหน่วย ทั้งกรมทางหลวง (กระทรวงคมนาคม), การทางพิเศษฯ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งหมายความว่า หน้าที่ของมหาดไทย ไม่ได้หยุดอยู่แค่ “กำกับดูแล” แต่ต้องรวมถึงการตรวจสอบ ซ่อมบำรุง และประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ในความเป็นจริง หลายพื้นที่ไม่มีระบบตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานที่สม่ำเสมอ ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการตรวจเช็ก หรือแผนการซ่อมบำรุง ไม่มีแม้แต่สายด่วนเฉพาะกิจให้ประชาชนร้องเรียน หรือแจ้งเหตุได้ทันที หากไม่เกิดเหตุรุนแรงจนเป็นข่าว ก็ไม่มีใครขยับ

เมื่อเกิดเหตุ… ความรับผิดชอบก็กลายเป็นของประชาชนเอง

ในเมื่อผู้ได้รับผลกระทบต้องโพสต์ในโซเชียลมีเดีย เรียกร้องความยุติธรรมแทนที่จะได้รับการติดต่อจากหน่วยงานทันที แล้วภาพลักษณ์ของ "ความปลอดภัย" ในเมืองไทยจะเหลืออะไรให้จับต้อง?

เราควรตั้งคำถามกับกระทรวงมหาดไทย ว่าเหตุใดจึงไม่มีระบบตรวจสอบสะพานอย่างสม่ำเสมอ? เหตุใดไม่มีมาตรการเยียวยาที่โปร่งใสและเป็นรูปธรรมเมื่อเกิดความเสียหาย? และเหตุใด...คนเดินทางต้องรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนระเบิดเวลาทุกครั้งที่ใช้ทางสาธารณะ?

เพราะความกลัวที่ฝังลึกในการเดินทาง ไม่ควรเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องแบกรับเอง

อย่าลืมว่า เส้นพระรามสองไม่ได้มีแต่ชาวกรุงเทพฯ ที่ผ่าน แต่คือประตูหลักสู่ภาคใต้ นักท่องเที่ยวที่เลือกขับรถไปเที่ยวแทนการบิน เริ่มตั้งคำถามว่า “ถนนเมืองไทยปลอดภัยจริงหรือ?” บริษัททัวร์เริ่มเลี่ยงเส้นนี้ ร้านค้าริมทางและจุดพักรถรายได้ลดลงจากจำนวนผู้ผ่านทางที่หายไปอย่างมีนัยยะ

นี่ไม่ใช่แค่ความเสียหายเชิงโครงสร้าง แต่มันกระทบ เศรษฐกิจฐานราก และภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศอย่างชัดเจน

คำว่า "ปลอดภัย" ที่กระทรวงฯ มอบให้ประชาชน ควรจะเป็นของจริง ไม่ใช่เพียงวาทกรรมในเอกสารราชการ

ในวันที่ประเทศไทยกำลังโปรโมตภาพลักษณ์ว่าอบอุ่น ปลอดภัย และน่าเชื่อถือ การเพิกเฉยต่อเหตุการณ์แบบนี้อาจกลายเป็นฝันร้ายทางเศรษฐกิจ — ไม่ใช่แค่รถยนต์ของประชาชนที่พัง แต่คือความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่ไม่เหลือ

ถึงเวลาแล้วหรือยัง...ที่กระทรวงมหาดไทยจะออกมาทำอะไรที่จริงจัง มากกว่าการ "ตรวจสอบ"


Previous
Previous

รวมศัพท์เทย 12 เดือนต้อนรับ Pride Month

Next
Next

เมื่อรักต้องกล้ากลัว ความไม่แน่นอน