ศีลธรรมราคาถูก กับต้นทุนชีวิตที่เด็กจ่าย

ครอบครัวกำเงิน…กระจกเงาที่สังคมต้องกล้ามองให้ชัด ก่อนจะประณามซ้ำซาก

แม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่กรณี “ครอบครัวกำเงิน” ได้กลายเป็นไวรัลที่แพร่กระจายเร็วราวไฟลามทุ่ง ผู้คนพากันรุมตำหนิพ่อแม่ของเด็กจำนวนมากที่ถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมไม่มั่นคง ทั้งการมีลูกเกินกำลัง เผยแพร่คลิปในลักษณะที่สร้างคำถามทางศีลธรรม และการพูดจาตอบโต้สังคมในท่าทีท้าทายแบบ “ไม่แคร์ใคร”

แต่ในขณะที่สังคมกำลังรุมประณาม ครอบครัวนี้กลับสะท้อนบางสิ่งที่สำคัญกว่านั้น: ความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของรัฐไทย ความเปราะบางของครอบครัวที่อยู่ชายขอบ และการขาดแคลน “พื้นที่ปลอดภัย” ให้แก่เด็ก ๆ ที่เติบโตมาในความหวังอันบางเบา

สื่อคือไฟฉายหรือไฟเผา?

การเปิดเผยของเพจ “ท่านเปา” อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สังคมตื่นตัวต่อชะตากรรมของเด็กในครอบครัวนี้ ขณะที่ “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” นักเคลื่อนไหวที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กก็กลายเป็นภาพแทนของความกล้าหาญและภาวะผู้นำในภาคประชาสังคม

แต่กระแสในโลกออนไลน์กลับเบนไปสู่การด่าทอแม่เด็กและการนำภาพเด็กไปสร้างมีม ตัดต่อ พาดหัวแรง ๆ เพื่อเรียกยอดไลก์ ยอดแชร์ โดยไม่ถามว่า เด็ก ๆ เหล่านั้นรู้สึกอย่างไรเมื่อโตขึ้นมาเห็นภาพตัวเองถูกเอาไปเล่นเป็นเรื่องขำ

นี่คือสิ่งที่สังคมไทยต้องทบทวน—โซเชียลมีเดียไม่ควรเป็นเครื่องมือในการซ้ำเติมผู้เปราะบาง แม้ “เป้าหมาย” จะดูสมควรถูกตำหนิแค่ไหนก็ตาม เพราะเด็กคือผู้ที่ไม่มีสิทธิเลือกครอบครัวที่เกิดมา

การมีลูก 9 คนในยุคที่ค่าแรงขั้นต่ำไม่พอเลี้ยงตนเองได้หนึ่งคน ไม่ใช่เรื่องที่ควรเฉลิมฉลอง แต่ก็ไม่ควรถูกนำมาเยาะเย้ยในสภาพที่รัฐเองไม่เคยส่งเสริมการวางแผนครอบครัวอย่างจริงจังในพื้นที่เสี่ยง หรือสร้างระบบสนับสนุนให้ผู้หญิงที่ขาดการศึกษาได้รับความรู้เรื่องเพศอย่างรอบด้าน

พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กมีบทบัญญัติชัดเจนในเรื่องการห้ามเอาเปรียบเด็ก ใช้ประโยชน์จากเด็ก หรือเลี้ยงดูในลักษณะที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทั้งกายและใจ แต่เมื่อเด็กคนแล้วคนเล่าถูกดันเข้าสู่โลกออนไลน์อย่างไม่มีเกราะป้องกัน กลับไม่มีหน่วยงานใดที่ออกมารับผิดชอบก่อนที่สังคมจะด่า

สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ครอบครัวที่ล้มเหลว แต่คือระบบรัฐที่ปล่อยให้ความล้มเหลวนั้นดำรงอยู่โดยไม่มีการเยียวยา

ศีลธรรมไม่ควรมีไว้ใช้กับคนจนเท่านั้น

การที่ผู้คนออกมาวิจารณ์ว่า “ไม่มีเงินก็อย่ามีลูกเยอะ” หรือ “ถ้าเลี้ยงไม่ได้ก็อย่ามี” นั้น อาจฟังดูสมเหตุสมผลในระดับปัจเจก แต่เมื่อสังคมเริ่มใช้ศีลธรรมเพื่อตัดสินเฉพาะคนจน โดยที่ไม่เคยมองว่าทำไมพวกเขาถึงไม่มีโอกาสในการเรียนรู้หรือควบคุมชีวิตตนเองตั้งแต่ต้น เท่ากับเรากำลังปล่อยให้ความเหลื่อมล้ำดำรงอยู่ และยังโทษเหยื่อที่เกิดจากมัน

สังคมต้องตระหนักว่า เด็กที่เติบโตขึ้นในสถานการณ์แบบนี้อาจไม่ได้ต้องการคำสงสารหรือเสียงด่า แต่ต้องการระบบที่ปกป้องเขาจริง ๆ และช่วยให้เขามีอนาคตที่ดี ไม่ใช่อนาคตที่ติดแฮชแท็กไวรัลกับคำล้อเลียน หากสังคมยังไม่รู้จักมองเด็กเป็นมนุษย์เต็มคน และรู้เท่าทันว่าความผิดพลาดของผู้ใหญ่ไม่ควรตกเป็นบาดแผลของเด็ก เราจะยังเห็น “ครอบครัวกำเงิน” รุ่นถัดไปในอนาคต ไม่ใช่เพราะพวกเขาอยากเป็นแบบนั้น แต่เพราะไม่มีใครหยุดวงจรซ้ำซากนี้ตั้งแต่วันนี้

การเปลี่ยนแปลงไม่เริ่มจากการประณาม
แต่เริ่มจากความเข้าใจ และระบบที่ปกป้องคนที่ไม่มีเสียงในสังคม

ผิดเหรอที่ถ่ายคลิปครอบครัว?

จากคำถามที่ว่า “ผิดเหรอที่ถ่ายคลิปครอบครัว?” นี่ไม่ใช่แค่ข้อแก้ตัวของผู้ใหญ่ที่กำลังถูกวิจารณ์ แต่คือเสียงสะท้อนจากคนจำนวนมากที่ไม่เคยได้รับโอกาสในการเรียนรู้ว่า การเลี้ยงดูลูกในยุคออนไลน์ต้องรับผิดชอบต่ออนาคตของเขามากกว่าที่คิด

การถ่ายคลิปครอบครัวไม่ใช่เรื่องผิด หากตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเคารพศักดิ์ศรีและสิทธิของเด็ก แต่เมื่อเนื้อหาถูกผลิตซ้ำเพื่อกระตุ้นยอดวิว โดยที่เด็กไม่มีอำนาจตัดสินใจ ไม่มีการเบลอหน้า ไม่มีข้อตกลงใด ๆ และกลายเป็น viral meme — มันก็ไม่ใช่แค่การถ่ายคลิปอีกต่อไป แต่คือการสร้างคอนเทนต์จากชีวิตจริงของเด็กที่ยังไร้เสียง

ไม่ใช่แค่ผิดหรือไม่ผิด แต่คือเรากำลังใช้ชีวิตของเด็กในการหาเลี้ยงชีพ โดยไม่มีระบบใดคอยกำกับว่าชีวิตนั้นควรมีขอบเขตแค่ไหน

สิ่งที่ควรถามต่อคือ:

  • เด็กมีสิทธิ์ยินยอมหรือไม่?

  • เด็กจะมีโอกาสลบคลิปเมื่อโตขึ้นหรือไม่?

  • ใครได้ประโยชน์จากคลิปเหล่านี้?

  • และใครที่ต้องรับผลกระทบระยะยาว?

คำถามว่า "ผิดหรือเปล่า" ควรเปลี่ยนเป็น "เราจะทำให้ถูกได้อย่างไร" และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการมองปัญหาให้ลึกซึ้งกว่าไวรัลในหน้าฟีด


Previous
Previous

บนพระจันทร์มีกระต่าย…ความเข้าใจในความเปราะบางของมนุษย์ และชีวิตของชายหนุ่มในเงาไฟนีออน

Next
Next

หน้าอกไม่ใหญ่ ขนาดไม่ได้เร้าใจ แต่ไม่มีใครมีสิทธิ์มาบอกว่าเราไม่เซ็กซี่?”