Puff.

View Original

เมื่อการขอโทษคือทางเลือก แต่ความรับผิดชอบต่อความผิดกลับต่าง

"ความขัดแย้งที่มาพร้อมกับความหวังและความสิ้นหวังในสังคม" เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดขึ้นกับศิลปินและนักการเมืองคนดังที่เราต่างคุ้นหน้า

กรณีของบิ้วกิ้น จับพุงหมีเนย แล้วถูกวิพากษ์วิจารณ์จนต้องออกมาขอโทษ ซึ่งเป็นการตอบสนองอย่างจริงจังต่อเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม แม้ว่ามันอาจเป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดจากความสนุกสนาน แต่แรงกดดันจากสังคมบังคับให้เขาต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจจริงในการรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากความสนุกสนาน แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะเผชิญหน้ากับกระแสสังคมและแสดงความรับผิดชอบอย่างชัดเจน

ในทางกลับกัน การที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องออกมาขอโทษหลังจากเหตุการณ์ตบหัวนักข่าว กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่การขอโทษแบบตรงไปตรงมา แต่เป็นการส่งตัวแทนโทรศัพท์มาขอโทษแทน พร้อมคำอธิบายที่สื่อว่า "ไม่ได้ตั้งใจ" หรือเป็นเพียง "การหยอกล้อที่เกิดขึ้นเป็นประจำ" นี่ทำให้เราเห็นความไม่เท่าเทียมในการรับผิดชอบต่อสังคมของบุคคลทั้งสอง ซึ่งต่างกันตามบทบาทและสถานะในสังคม

เรื่องนี้สะท้อนถึงมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือบุคคลในวงการบันเทิง คำถามที่เราควรถามตัวเองคือ ทำไมสังคมถึงยอมรับความต่างนี้ได้? หรือเป็นเพราะความสิ้นหวังที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ แม้จะพูดหรือแสดงความรู้สึกอย่างไร สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าจะไม่มีใครฟัง?

ในยุคที่เราเรียกร้องความโปร่งใสและความรับผิดชอบมากขึ้น คำถามถึงมาตรฐานที่แตกต่างกันเหล่านี้ควรถูกตั้งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด มีความเท่าเทียมกันในการรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง สิ่งนี้คือสิ่งที่ไม่ควรเงียบไป