“ค่านิยมขงจื๊อ” รากฐานของสังคมปิตาธิปไตยที่กดทับผู้หญิง?

มีคำกล่าวว่าประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะ แต่ในโลกของปรัชญา ประวัติศาสตร์กลับถูกออกแบบขึ้นโดยผู้ชายมาโดยตลอด

ขงจื๊ออาจเป็นนักคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของเอเชียตะวันออก ทว่าคำสอนของเขากลับกลายเป็นเสาหลักของระบบปิตาธิปไตยที่ดำรงอยู่มาหลายพันปี ค่านิยมของขงจื๊อได้สร้างกรอบความคิดที่กดทับผู้หญิงไว้ภายใต้โครงสร้างของครอบครัวและสังคม แต่มันเป็นความผิดของขงจื๊อจริงๆ หรือ? หรือเป็นเพียงการนำแนวคิดของเขามาใช้ในทางที่เอื้อประโยชน์ต่ออำนาจชายเป็นหลัก?

"สามเชื่อฟัง" และ "สี่คุณธรรม" กลายเป็นกฎเหล็กของชีวิตผู้หญิงในสังคมที่รับแนวคิดขงจื๊อมาใช้ เด็กหญิงทุกคนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เกิดว่าพวกเธอต้องเชื่อฟังพ่อเมื่อยังเล็ก เชื่อฟังสามีเมื่อแต่งงาน และเชื่อฟังลูกชายหากต้องเป็นหม้าย กฎเหล่านี้ตัดสิทธิ์ความเป็นตัวของตัวเองออกไปโดยสิ้นเชิง สังคมขงจื๊อวางเงื่อนไขว่าการเป็นผู้หญิงที่ดีต้องสงบเสงี่ยม พูดจาไพเราะ และทำงานบ้านได้เก่ง คุณค่าของพวกเธอจึงถูกลดทอนลงให้เหลือเพียงการเป็นภรรยาและแม่ที่ดี

ระบบขงจื๊อให้ความสำคัญกับบุตรชายมากกว่าบุตรสาวอย่างเห็นได้ชัด ในอดีต การให้กำเนิดลูกชายคือเกียรติสูงสุดของผู้หญิง หากมีแต่ลูกสาว เธออาจถูกมองว่าไร้ค่า เพราะลูกชายเท่านั้นที่สามารถสืบสกุลและทำพิธีกรรมบรรพบุรุษได้ แม้แต่ในเรื่องของการศึกษา ผู้หญิงแทบไม่มีโอกาสได้รับความรู้ในระดับเดียวกับผู้ชาย เพราะถูกกำหนดให้ชีวิตของพวกเธออยู่ภายในบ้านมากกว่านอกบ้าน

เมื่อพูดถึงชีวิตคู่ ระบบขงจื๊อไม่ได้มีปัญหากับการมีภรรยาหลายคน สามีสามารถมีอนุภรรยาได้มากมาย แต่ภรรยาหลวงต้องยอมรับสถานะนั้นโดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ หากสามีเบื่อหน่ายเธอ เขาสามารถแต่งงานใหม่ได้ แต่เธอกลับไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทนอยู่กับโชคชะตา ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์เลือกคู่ครองของตนเอง การแต่งงานมักถูกกำหนดโดยพ่อแม่ที่ตัดสินใจแทนทุกอย่าง

บทบาทของผู้หญิงยังถูกจำกัดอยู่ที่การเป็น "แม่" เท่านั้น ในสังคมที่ขงจื๊อมีอิทธิพล หากผู้หญิงไม่สามารถให้กำเนิดบุตร โดยเฉพาะลูกชาย เธออาจถูกครอบครัวสามีทอดทิ้ง หรือถูกมองว่าไม่มีค่า ชีวิตของพวกเธอถูกผูกติดกับมดลูกมากกว่าความสามารถอย่างอื่นในชีวิต

เมื่อย้อนกลับไปดูคำสอนของขงจื๊อเอง ขงจื๊อไม่เคยกล่าวโดยตรงว่าผู้หญิงไม่มีคุณค่า แต่สิ่งที่เขาสร้างขึ้นคือระบบที่ให้ความสำคัญกับลำดับชั้นทางสังคม ซึ่งกลายเป็นรากฐานของสังคมปิตาธิปไตยในเวลาต่อมา แนวคิดของเขาอาจเป็นเพียงผลิตผลของยุคสมัยที่ยังไม่มีความเสมอภาคทางเพศ แต่เมื่อแนวคิดนี้ถูกใช้เป็นกรอบหลักของสังคมจีน และถ่ายทอดมายังหลายประเทศในเอเชีย มันกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ระบบชายเป็นใหญ่คงอยู่ต่อไป

แม้ในศตวรรษที่ 21 หลายประเทศจะมีความก้าวหน้าเรื่องสิทธิของผู้หญิงมากขึ้น แต่ร่องรอยของแนวคิดขงจื๊อยังคงหลงเหลืออยู่ เราเห็นมันในความกดดันให้ผู้หญิงต้องแต่งงานและมีลูกเพื่อให้ได้รับการยอมรับในสังคม เราเห็นมันในค่านิยมที่ให้ลูกชายมีความสำคัญมากกว่าลูกสาว และเราเห็นมันในความคาดหวังที่ผู้หญิงยังคงต้องเป็นแม่บ้านมากกว่าผู้นำ

คำถามคือ เมื่อไหร่ที่เราจะสามารถสลัดกรอบความคิดนี้ออกไปได้?

ค่านิยมขงจื๊ออาจไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อกดขี่ผู้หญิงโดยตรง แต่ระบบสังคมที่ยึดถือขงจื๊อได้สร้างโครงสร้างที่ทำให้ผู้หญิงมีสถานะด้อยกว่าผู้ชายในทุกด้าน หลัก "สามเชื่อฟัง" ทำให้ผู้หญิงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชายตลอดชีวิต ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ได้รับการศึกษา หรือมีบทบาทในทางการเมือง และระบบปิตาธิปไตยที่ฝังรากลึกในสังคม ทำให้ผู้ชายมีอำนาจเหนือกว่าเสมอ

ถึงแม้ว่าค่านิยมเหล่านี้จะเริ่มถูกท้าทายมากขึ้นในปัจจุบัน แต่การเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยความเข้าใจในรากฐานของปัญหา เพราะถ้าเรารู้ต้นเหตุของโครงสร้างที่กดขี่เราได้แล้ว เราก็จะสามารถรื้อถอนมันได้ในที่สุด


Previous
Previous

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่มี ‘Sex with Love’?

Next
Next

สำรวจศาสตร์และศิลป์ของอารมณ์