เหลือ 3,000 ก่อนเงินเดือนออก บทเรียนชีวิตจริง

บางเรื่องไม่ต้องสอนกันด้วยคลาสออนไลน์ ไม่ต้องจ้างที่ปรึกษาการเงินระดับประเทศ แค่มีนักเขียนคนหนึ่งในทีมของผม โพสต์ว่า “เหลือเงิน 3,000 ก่อนสิ้นเดือน” แล้วเล่าให้หมด ว่าทำไมมันถึงเหลือแค่นั้น — แบบไม่มีกั๊ก

เขาคือนักเขียนของ พัฟ ที่ไม่เคยอายจะเล่าความจริงของตัวเองบนพื้นที่สาธารณะ เพราะเชื่อว่าสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ ไม่ได้เกิดกับเขาคนเดียว จากโพสต์วันนั้น ทำให้ผมทักไปหลังไมค์ว่า “ไหน ๆ ก็เล่าแล้ว ลองเปิดให้หมดเลยสิ เงินเดือนเท่าไหร่ ใช้ยังไง ถึงเหลือแค่นั้น”
เขาก็จัดให้แบบเต็ม ๆ

นักเขียนคนนี้มีเงินเดือน 32,000 บาท หักประกันสังคม 750 บาท ภาษีประมาณ 700 บาท เงินสุทธิที่เข้าบัญชีคือ 30,550 บาท
เงินจำนวนนี้ ถ้าดูผ่าน ๆ ก็น่าจะพอใช้ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงินมันน้อย แต่อยู่ที่เงินมัน “ไหล” แบบไม่มีเบรก

  • ค่าเช่าห้อง 5,000 บาท

  • บัตรเครดิต 3,000 (จ่ายเพื่อปิด ไม่เบิกเพิ่ม)

  • ค่าโทรศัพท์กับ Netflix อีก 1,200 บาท

  • ค่าน้ำ ไฟ อินเทอร์เน็ต 2,000 บาท

  • ค่าเดินทาง BTS + วินมอเตอร์ไซค์ 108 บาท × 22 วัน = 2,376 บาท

    รวมค่าใช้จ่ายคงที่ หรือ Fixed Cost ทั้งหมด 13,576 บาท
    เหลือเงินที่ใช้จ่ายได้จริง 16,974 บาทต่อเดือน

ดูแล้วก็ยังไม่ถึงขั้นน่าตกใจ จนกระทั่งเขาเริ่มแจกแจงว่าเงินในหมวด "ใช้จริง" มันกระจายไปทางไหนบ้าง

  • กาแฟทุกเช้า 40 บาท × 30 วัน = 1,200 บาท

  • ข้าววันละ 3 มื้อ ประมาณ 3,000 บาท

  • ของจุกจิก ขนม น้ำเปล่า เครื่องดื่มอีก 1,500 บาท

  • ของใช้ในบ้าน เช่น ยาสระผม น้ำยาถูพื้น ฯลฯ อีกราว 1,000 บาท

  • มื้อพิเศษนอกบ้านบ้าง 1,200 บาท

  • โอนให้แม่ 1,500 บาท

  • สั่งของในแอป “ไม่เยอะ แต่บ่อยรอบ” 2,000–2,500 บาท

  • สั่งอาหารช่วงที่เหนื่อยจัด ไม่มีแรงทำอะไร 1,000 บาท

    รวม ๆ แล้วอยู่ที่ประมาณ 12,000–13,200 บาทต่อเดือน

ปลายเดือนจึงเหลือจริง ๆ แค่ 3,000 บาท
ไม่มีดราม่า ไม่มีฟุ่มเฟือย ไม่มีอะไรที่เกินเลย เขาไม่ได้ซื้อกระเป๋าแบรนด์ ไม่ได้เปิดบิลเครื่องดื่ม ไม่มีของฟุ่มเฟือยที่เห็นแล้วอยากด่า มีแต่ชีวิตจริงของคนทำงาน ที่เงินเข้าไว แต่เงินออกไวกว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ เขาไม่ได้โทษตัวเอง ไม่ได้เล่นบทเหยื่อ และไม่ได้เลิกกินกาแฟหรือเลิกช้อปในแอป

เขาแค่เปลี่ยนมุมมอง แล้วตั้งแผนใหม่ — แบบไม่โลกสวย

  1. เงินเข้า → แยก Fixed Cost ก่อน

  2. รับรู้ว่า “เงินใช้จริง” มีแค่ 16,974 บาท

  3. ตั้งงบใช้ชีวิตที่ไม่เกิน 9,000 บาท

  4. ออมเข้าบัญชี 2,000 บาท

  5. กันเงินไว้ปลายเดือน 4,000 บาท

  6. ถ้าเหลืออีก = ไม่ช้อป ไม่สั่ง ไม่ใช้ ให้เป็นทุนเดือนหน้า

เขายังชอบกาแฟเหมือนเดิม ยังเปิดแอปช้อปเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนจาก “อยากได้ → ซื้อเลย” เป็น “ใส่ตะกร้า → รอดู 3 วัน ว่าอยากได้จริงไหม”
มันไม่ใช่แผนแบบโลกสวย แต่มันคือการใส่ “สติ” ลงในพฤติกรรมเดิม แบบที่ไม่ทรมานตัวเอง

ผมคิดว่า บทเรียนจากนักเขียนคนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่มันคือความกล้าที่จะเปิดเผย และความซื่อตรงกับตัวเอง ไม่ต้องรอเงินเดือนขึ้น ไม่ต้องหาตัวช่วยจากภายนอก แค่ลองเขียนแผนง่าย ๆ ให้ชีวิตดูบ้าง เพราะสุดท้าย การวางแผนไม่ใช่เรื่องของคนเก่งหรือคนมีเงิน แต่เป็นเรื่องของคนที่ “ไม่อยากจม” ตอนปลายเดือนซ้ำ ๆ อีกต่อไป

บางครั้ง เราไม่ต้องรอให้สถานการณ์บีบคั้นจนเหลือเงินสามพันถึงจะเริ่มวางแผน แต่ถ้าคุณเคยอยู่ในจุดนั้นมาแล้ว — ก็ขอให้มันเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณใช้เงินโดยไม่มีภาพรวมในหัว เพราะความมั่นคงทางการเงินไม่ใช่ผลลัพธ์จากการหาเงินเก่งอย่างเดียว แต่มันคือทักษะในการจัดวางสิ่งที่มีให้พอดีกับชีวิตที่คุณอยากมี — โดยไม่ต้องฝืน ไม่ต้องโกหกตัวเอง และไม่ต้องตัดความสุขทั้งหมดทิ้ง


Previous
Previous

เงินเดือนแค่เดินผ่านบัญชี

Next
Next

ฝนตกหนัก…ห้ามเปิดไฟฉุกเฉิน