Puff.

View Original

เปิดโลกวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ตามติดชีวิตนักศึกษา รั้ว ววจ.

ระฆังดีไม่ตีก็ดัง! ดังเช่นสถาบันการศึกษา “วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์”   ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สถาบันการศึกษาวิจัยและบริการทางการแพทย์ครบวงจร สถานอุดมศึกษาในกำกับของรัฐที่มุ่งสร้างบัณฑิตแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพในสาขาที่ขาดแคลน เปิดรับนักศึกษารุ่นแรกไปเมื่อปี พ.ศ.2560 ซึ่งปัจจุบันก็มีนักศึกษารวมกว่า 900 คนแล้ว

“ขอฝากอนาคตของคนไทย ไว้กับน้องๆ ขออวยพรให้นักศึกษาทุกคน ตั้งใจเล่าเรียนและได้สิ่งที่ปรารถนาในชีวิต และขอให้กลับมาช่วยคนไทยจริงๆ ประเทศไทยเราดีที่สุดแล้ว”

  ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี
องค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
พระราชทานพระโอวาทแก่นักศึกษาใหม่ ประจำปี 2563

หากนับย้อนหลังไปสถาบันแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นจากพระปณิธานและพระวิสัยทัศน์ของ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงมีพระประสงค์จะยกระดับการศึกษาด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพในประเทศไทย ทรงมีพระดำริให้ดำเนินการพัฒนาต่อยอด “โรงพยาบาลจุฬาภรณ์” จากโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านโรคมะเร็ง ให้เป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยภายใต้ชื่อ “วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์” เมื่อปี พ.ศ.2559 โดยเสด็จสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและการแพทย์ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน สร้างบัณฑิตแพทย์แนวใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถด้านการวิจัย รู้จักกระบวนการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อเตรียมพร้อมเป็นบุคลากรทางการแพทย์ยุคใหม่ในอนาคต

สอดคล้องกับที่ ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้ฉายภาพโลกวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ และหลักสูตรสายวิทยาศาสตร์สุขภาพที่กำลังเป็นที่สนใจของเด็กยุคใหม่ว่า

 “ในอนาคตอันใกล้ การรักษาคนไข้ จะไม่ใช่แค่หมอดูแลผู้ป่วยเพียงลำพัง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่หมอต้องทำงานร่วมงานกับวิชาชีพอื่นๆ ตามเทคโนโลยีการรักษาที่พัฒนา ณ วันนี้เราจึงเตรียมความพร้อมในการสร้างบุคลากรรองรับการแพทย์ยุคใหม่ในอนาคต และสถาบันฯ มองว่า ทุกวิชาชีพเกี่ยวกับมนุษย์ ต้องมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น จึงได้ใส่คุณสมบัติบัณฑิตที่พึงประสงค์ไว้ดังนี้ ข้อแรก บ่มเพาะให้เขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ข้อสองเขาต้องพร้อมในความเปลี่ยนแปลง ข้อสามรู้จัก คิด วิเคราะห์ เป็นระบบ ดิจิทัล รู้ที่มาที่ไปของเทคโนโลยี ข้อสุดท้าย สิ่งสำคัญที่เด็กรุ่นใหม่ๆ ต้องมีคือ ความร่วมมือระหว่างวิชาชีพ”

ความรู้สึกก้าวแรกที่เข้าสู่รั้ว ววจ. ตั้งอยู่พิกัด ถ.แจ้งวัฒนะ อยู่ใกล้กับศูนย์ราชการ คือ ความภาคภูมิใจ  วิสัยทัศน์ “เรียนรู้ วิจัย เพื่อสร้างปัญญาและผู้นำทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี” พันธกิจ จัดการศึกษาทางวิชาการ วิชาชีพ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การแพทย์และการสาธารณสุข, จัดทำวิจัยสร้างองค์ความรู้เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพประชาชน, ให้บริการทางการแพทย์ การสาธารณสุขแก่ประชาชนและให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้, ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม

ด้าน ค่านิยมหลัก ภายใต้พระนาม CHULABHORN อันแสดงถึงวัฒนธรรมองค์กรและค่านิยมหลักที่สำคัญ C Commitment มุ่งมั่น H Honesty ซื่อสัตย์ U Unity สามัคคี L Loyalty มีศรัทธา A Altruism คำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นและส่วนรวมเป็นที่ตั้ง B Benevolence เมตตากรุณา H Happiness นำพาความสุข O Opportunity ได้รับโอกาส R Research Excellence สู่ความเป็นเลิศด้านการวิจัย N Networking สร้างเครือข่ายความร่วมมือ

นอกจากนั้นนักศึกษาที่นี่ทุกคนจะสัมผัสได้ถึงสถาบันแห่งใหม่ พื้นที่กว้าง มีอาคารการศึกษา แบ่งเป็นชั้นๆ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับการศึกษายุคใหม่ ภายในประกอบด้วย คณะแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข, คณะพยาบาลศาสตร์, คณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ และ คณะสัตวแพทยศาสตร์และสัตววิทยาประยุกต์

สำหรับความรู้สึกของนักศึกษาภายหลังเข้าเรียนที่นี่ นายภูริช รัตนไพบูลย์ (บริ๊งค์), นายธนทัต วัฒนะธนากร (โจ), น.ส.จุไลภรณ์ อินทลาวัณย์ (ใบเตย), น.ส.สุพิชฌาย์ อนุวงศ์วรเวทย์ (กิ๊บ) คณะแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2563) MD-UCL วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

ประทับใจตั้งแต่ที่มาการก่อตั้ง จนถึงสถานที่ แนวคิดที่สถาบันบ่มเพาะ เช่น คนไข้เดินเข้ามาหาเราเพราะอะไร? เพราะเขาทุกข์ เขาไม่รู้ เขาไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่มาหา ฉะนั้นหมอมีหน้าที่เดียว คือ ทำให้เขาหายจากทุกข์ ไม่ควรทำอะไรให้ เขาทุกข์เพิ่มขึ้น อย่าไปดุเขา หน้าที่เรา คือ เข้าใจ วางแผนการรักษาโรค ทำให้เขาพ้นจากความเจ็บป่วย

นอกจากนี้ ววจ.เตรียมพร้อม องค์ความรู้ในอนาคต เชิญอาจารย์แพทย์ที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์ระดับประเทศ มาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ อีกทั้งสอนความเป็นมนุษย์ คือ ทัศนคติ การวางตัว การสื่อสารกับเพื่อนมนุษย์ ซึ่งจำเป็นมากกับหมอในอนาคต และอย่างสุดท้ายภายในรั้วแห่งนี้ ถึงจะไม่เล็กหรือใหญ่มาก แต่พวกเรานักศึกษาทุกคณะรู้จักกันทุกคน การได้ทำกิจกรรมร่วมกันบ่อยๆ ทำให้เรารู้สึกเราไม่โดดเดี่ยวหรือถูกทอดทิ้ง

นายกฤตย์ศรัณย์ อัศวนุวัฒน์  (น้องภู)  สาขารังสีเทคนิค และ  น.ส.ชนัญธิดา อักขราสา (น้องเอย)  สาขาวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวและสุขภาพ คณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

“พวกเราสนใจวิทยาศาสตร์เพราะรู้สึกว่ามีความสำคัญและเป็นสาขาที่ขาดแคลน ปัจจุบันประเทศกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย มีแนวโน้มผู้ป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอ รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งอีก ปัจจุบันการเตรียมการด้านบุคลากรเพื่อรองรับสำหรับเทคโนโลยีการรักษาใหม่ๆ ยังน้อย ทำให้มีความสนใจเรียน เนื่องจากวิทยาศาสตร์สุขภาพเป็นสาขาอาชีพที่มีความต้องการในตลาด มีอาชีพรองรับแน่นอน, มีส่วนได้ช่วยเหลือผู้อื่นให้หายจากความเจ็บป่วย นอกจากนี้ศาสตร์ทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ สามารถต่อยอดไปทางอื่นๆ โดยใช้ความรู้ทางด้านการวิจัยซึ่งสถาบันเน้นย้ำเสมอ สอนให้เราคิดวิเคราะห์เป็นระบบ เวลาเผชิญโรคหรือปัญหาใหม่ๆ ก็จะหาแนวทางรักษาร่วมไปกับแพทย์และเพื่อนร่วมวิชาชีพแขนงอื่นๆ ได้

สำหรับความประทับใจในรั้ว ววจ. ตั้งแต่สโลแกนเลย “เป็นเลิศเพื่อทุกชีวิต” คือรู้สึกว่าสิ่งที่เรากำลังเรียนหรือศึกษาอยู่นี่ ไม่ใช่มาเพื่อรู้ไปวันๆ นะ แต่ต้องต่อยอดพัฒนาเพื่อให้มีความเป็นเลิศ เพราะคนไข้ฝากชีวิตไว้กับพวกเรา ถึงแม้เป็นส่วนน้อยแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งในการรักษา อีกเรื่องที่ประทับใจ หลายคนยังไม่ทราบว่าที่นี่นักศึกษาเราเกือบทุกคน ได้รับทุนฟรี ทำให้ประหยัด เบาแรงทางบ้าน ระบบสอนให้เรารับผิดชอบตัวเองได้ อีกทั้งมีรถรับส่งจากวิทยาลัยไปหอพัก ทำให้ได้ใกล้ชิดกับเพื่อนๆ มีเวลาเรียน เล่น ติวหนังสือด้วยกัน ผลการเรียนของเรากับเพื่อนๆ ก็จะไม่แตกต่างหรือทิ้งห่างกันมาก ความที่สนิทกัน ทำให้ไม่มีการแข่งขัน แต่จะเป็นการช่วยเหลือกันมากกว่า

นายธนาวุฒิ พลับผล (น้องวิว) ,น.ส.จุฑามาศ กิตติวิรยานนท์ (น้องเมย์) ,นายสาริศ ขันธเครือ (น้องดริ๊งค์) และ อรอร เดือนเพ็ญ (น้องอร) คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

“พยาบาลเป็นสาขาที่ขาดแคลน และเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาอย่างขาดไม่ได้ จะว่าไปพยาบาล อยู่คู่กับคนไข้และการรักษาไปตลอด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นงานหนัก แต่ที่พวกเราเลือกเรียน เพราะหนึ่งมีใจอยากที่จะช่วยเหลือผู้อื่น อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ สองเป็นสาขาอาชีพที่มีงานรองรับแน่นอน เป็นวิชาชีพติดตัว ไม่ว่าจะยุคไหนก็มีความสำคัญ ต่างกับสาขาอื่นๆ ที่อาจต้องไปลุ้นกันอีกเยอะ

 สำหรับความประทับใจที่เลือกเรียนที่นี่ ประทับใจตั้งแต่งาน Open House และมีการแนะนำจากรุ่นพี่ว่ามาเรียนที่นี่ แม้จะเพิ่งเปิดแต่เป็นสถาบันที่ก่อตั้งโดยพระองค์ท่านฯ ซึ่งมีเจตนารมณ์ช่วยเหลือส่วนรวม เราก็อยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสนองพระปณิธาน อีกทั้งที่นี่ยังมีมีบุคลากร อาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งมีประสบการณ์และชื่อเสียงในแวดวงการพยาบาลระดับประเทศ สอนจิตวิญญาณของนักวิชาชีพ ให้เรามีความรู้รอบ มีจิตบริการ และเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ของคนทุกคน รวมถึงสถาบันฯ ทุ่มมาก ในเรื่องอุปกรณ์ หรือเทคโนโลยีการรักษาใหม่ๆ ทำให้พวกเรามีความรู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพ อาจเรียกมีคุณภาพมาตรฐานในระดับสากล อีกทั้งที่นี่ยังเป็นศูนย์การศึกษาให้ได้ต่อเนื่อง กรณีที่เราอยากค้นคว้าอะไรเพิ่มเติม

สำหรับกิจกรรม คงแยกย่อยไปแต่ละคณะ เพียงแต่นักศึกษาพยาบาลที่นี่ จะใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ เพราะแต่ละชั้นปีจะอยู่ที่หอเดียวกัน มีทั้งกิจกรรมชาวหอและกิจกรรมของคณะ อาทิ กิจกรรม PC nurse Camp สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง, กิจกรรมสร้างเครือข่ายระหว่างนักศึกษาพยาบาลทั่วประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเสริมสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลากรในวิชาชีพเดียวกัน ตลอดจนกิจกรรมจิตอาสาลงชุมชนทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดเพื่อการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม

นอกจากนี้ ววจ.ได้เปิด คณะสัตวแพทยศาสตร์และสัตววิทยาประยุกต์ คณะใหม่ล่าสุด รับนักศึกษารุ่นแรกในปีการศึกษา 2563 ตามหลักการของสถาบัน “เป็นเลิศในศาสตร์แห่งสัตว์” ที่ต้องการสร้างวิชาชีพสัตวแพทย์เพื่อเติมเต็มองค์ประกอบของแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) หมายถึง สุขภาพคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เพื่อความมั่นคงทางสุขภาพของประชาชนชาวไทย ความประทับใจในรั้วนี้ คือ ความแข็งแกร่ง ความพร้อมของสถาบันฯ ที่มีการไปจับมือร่วมกับหน่วยงาน องค์กร อื่นๆ เพื่อให้นักศึกษามีประสบการณ์ เช่น ไปออกหน่วยปฏิบัติงานสัตวแพทย์อาสา ฯลฯ “สำหรับแนะนำน้องๆ ก่อนอื่น ขึ้นชื่อว่าสัตวแพทย์ ควรรักษาสัตว์ได้ทุกชนิด ที่นี่จะให้เลือกสองหลักสูตรคือ สัตวแพทย์ และ ปศุสัตว์ นอกจากโรงพยาบาลสัตว์แล้ว ยังรองรับการไปทำงานในหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ เช่น กรมปศุสัตว์ กรมประมง ฯลฯ เป็นต้น คนที่สนใจ ต้องสำรวจตัวเอง ว่ารักสัตว์ อยากมีความรู้เรื่องสัตว์ และทำงานอย่างนี้ไปตลอดได้หรือไม่ ส่วนตัวพวกเราเชื่อว่าการได้ทำในสิ่งที่รักจะทำให้เวลาทำงาน ทุกคนจะมีความสุขมากขึ้น” เค้งงงงงงงงงง!!!! แอบตีระฆังให้หนึ่งที เพราะบรรยากาศที่นี่ รวมถึงรุ่นพี่แต่ละคณะ น่ารัก น่าเรียนมากๆ ฟูลฟิววววววสุดๆ

ทั้งนี้น้องๆ ที่สนใจอยากเข้าศึกษาต่อที่นี่ สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

http://www.pccms.ac.th/ หรือ https://www.facebook.com/CRAPCCMS